รายการ “ถอนหมุดข่าว” ทาง NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันที่ 17 มิ.ย.64 นำเสนอรายงานพิเศษ “ช้างศึก”สุดอัปยศ ในยุคนายกฯสมยศ ธุรกิจฟู ผลงานห่วย!
“ใครไม่อาย ผมอาย” ประโยคคลาสสิกประจำตัวของ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมป์ ย้อนกลับมาหลอกหลอนเจ้าตัวอีกครั้ง
หลังจากที่ “ทัพช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ในการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 โซนเอเชีย โดยจบอันดับ “รองบ๊วย” ของตารางการเข่งขัน
ไม่ผ่านเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้ายตามเป้าหมายที่วางไว้ และที่เคยทำได้ตลอดในระยะหลัง
ทั้งที่คู่แข่งในกลุ่มเดียวกันล้วนแล้วแต่มาจากชาติอาเซียน คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และคู่ปรับในยุคปัจจุบันอย่าง เวียดนาม มีเพียง “ยูเออี” สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เท่านั้นที่มาจากชาติตะวันออกกลาง ถือว่าประตูเปิดกว้างสำหรับไทยที่ถือเป็น “ตัวเต็งแห่งอาเซียน” ในการผ่านเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายอีกคำรบ
หนักกว่านั้น ผลงานของทัพช้างศึกย่ำแย่ถึงขนาดพ่ายแพ้ทั้ง 2 นัดที่พบกันให้กับ “เสือเหลือง” มาเลเซีย ที่เป็นลูกไล่ผูกปีชนะมาตลอด
แน่นอนว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆและถูกกระแสเรียกร้องให้ปลดจากตำแหน่งไม่พ้น อากิระ นิชิโนะ เฮดโค้ชทีมชาติไทยชาวญี่ปุ่น ที่สร้างชื่อจากการนำทีมชาติญี่ปุ่นโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในศึกฟุตบอลโลกหนล่าสุด
จึงถูกคาดหวังสูงว่าจะมาเป็นผู้ยกระดับทีมฟุตบอลทีมชาติไทย แต่ผลงาน 10 นัดหลังสุด กลับพาทีมเอาชนะคู่แข่งได้แค่นัดเดียวเท่านั้น
เหนือกว่าผลงานที่น่าผิดหวังสาละวันเตี้ยลงๆแล้ว ทัพช้างศึกยุคนี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นเละเทะว่า “ไม่มีทรง” ต่างจากในอดีตที่แม้บอลจะแพ้ แต่ก็ “มีทรง” ได้ใจกองเชียร์
อย่างไรก็ดีการปลด “อากิระซัง” ก็อาจเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ “ปลายเหตุ” เพราะอาจพูดได้ว่า “ต้นตอ” ปัญหาเกิดจากการบริหารสมาคมฟุตบอลฯ ภายใต้การนำของ “เสี่ยอ๊อด - สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง” นายกฯ 2 สมัยคนปัจจุบัน
เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ยิ่งสะท้อนถึงความไม่เข้าใจในศาสตร์และศิลป์ ตลอดจนจิตวิญญาณในเกมลูกหนังของอดีต ผบ.ตร.ผู้นี้
ตอกย้ำความคาใจของแฟนฟุตบอลไทยว่า เหตุใด พล.ต.อ.สมยศ ถึงเลือกที่จะโดดเข้ามาอาสาตัวสมัครเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯหลังเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2558 โดยได้รับการผลักดันจากขาใหญ่วงการลูกหนังไทย ในรอบกว่าทศวรรษที่ผ่านมา เนวิน ชิดชอบ ส่งผลให้ “เสี่ยอ๊อด” แบเบอร์เข้าวินนายกสมาคมฟุตบอลฯ 2 สมัยติด ซึ่งตอนนี้เนวินคงคิดหนัก เพราะพลอยเสียทรงไปด้วย
การเข้ามาจับงานสมาคมฟุตบอล มีคนเชื่อกันว่าสมาคมฟุตบอลฯ เป็นเพียง “จุดแวะพัก”ของสมยศ เพื่อหา “ที่ยืน” ในสังคมหลังเกษียณ และเป็น “นั่งร้าน” เพื่อรอจังหวะแต่งตัวรอเข้าสู่ถนนสายการเมือง ทั้งหัวหน้าพรรคการเมือง หรือรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ ด้วยสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับสายการเมือง หลายขั้ว
ไม่เพียงแต่ความเข้าใจในกีฬาฟุตบอล “ติดลบ” นำมาซึ่งความผิดพลาดในการทุ่มค่าจ้างแพงระยับเพื่อดึง “นิชิโนะ” เข้ามาคุมทีม และผลงานขาลงของทัพช้างศึกแล้ว ยังปรากฎว่า “สมยศ” บริหารงานโดยนำเรื่อง “ธุรกิจการค้า” มาพัวพันจนกระทบการพัฒนา “ด้านกีฬา”
โดยหลัง “สมยศ” เข้ามาก็เริ่ม “ล้างไพ่” การบริหารสมาคมฟุตบอลฯทันที มีการดึงเอา “พันธมิตรใหม่” เข้ามา ทำให้เกิดความระหองแหงกับ “พันธมิตรเดิม” ของสมาคมฯในยุคก่อน
ทั้งสิทธิ์ดูแลผลประโยชน์ให้สมาคมฟุตบอลฯ และการแข่งขันไทยลีก ที่ “แพลนบี” บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) บริษัท “ลูกรัก” ที่ “สมยศ” อุ้มชูปลุกปั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นตำรวจ เป็นผู้ชนะการประมูลคว้าสิทธิ์ไปครอง ส่วนการขายตั๋วก็ได้ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ที่มี “ลูกน้อง” ของ “สมยศ” เป็นบอร์ดอยู่เข้ามาดูแล ท่ามกลางเสียงท้วงติงว่า การประมูลไม่โปร่งใส มีการเอื้อประโยชน์แก่กัน
หรือล่าสุดกับการคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลไทย เป็นเวลา 8 ปี ด้วยมูลค่า 12,000 ล้านบาท ของ เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำคอนเทนท์กีฬามาก่อน
ปรากฎว่าทุกดีลที่ว่ามา “ล้มเหลว” มีการยกเลิกสัญญา และถึงขั้นฟ้องร้องกับสมาคมฯทั้งหมด ไม่ใช่เพียงล้มเหลวในแง่บริหารเชิงธุรกิจ นโยบายนี้ยังทำให้สมาคมฯในยุค “สมยศ” ต้องแยกทางกับ “เพื่อนเก่า” อย่าง “เครือสยามสปอร์ต” ที่ “รัน” หรือขับเคลื่อนวงการกีฬาเมืองไทยมาอย่างยาวนาน แต่เหมือนถูก “กีดกัน” ให้ไปอยู่วงนอก
แล้วยังกระทบไปถึงความสัมพันธ์กับทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่ไทยลีก ซึ่งเป็นเครือข่ายของ “สยามสปอร์ต” ด้วย เกิดภาวะเลือกที่รักมักที่ชังใช้ “เด็กเส้น” นักเตะเมืองทองถูกมองข้าม หรือหากเรียกติดทีมชาติก็ไม่ต่างจาก “ลูกเมียน้อย” ที่ได้รับความสำคัญไม่เท่า “นักเตะลูกรัก” จากทีมบุรีรัมย์
จะเห็นได้ว่าสมาคมฟุตบอลฯยุค “เสี่ยอ๊อด” ไม่เพียงแค่บริหารด้านกีฬาผิดพลาดแล้ว ด้านธุรกิจก็เป็นอีกปมสำคัญที่กระทบพัฒนาการทีมชาติไทย
ผลงานอัปยศ ที่เห็นและเป็นไป ของ “ทัพช้างศึก” อาจถึงเวลาที่ “เสี่ยอ๊อด” ต้องพิจารณาตัวเอง
มันจบแล้วครับท่าน หมดเวลาอายแล้วครับท่าน.