(Police Focus)
บช.ก.ได้ตั้งคณะร่วมระหว่าง บก.ปอศ.และ บก.ป.เพื่อสืบสวนสอบสวนคดีจับกุม นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน หัวหน้าขบวนการหลังร่วมกับพวกเปิดบริษัทในลักษณะเครือข่ายใหญ่ หลอกนักลงทุนหลายรูปแบบอ้างจะได้ผลตอบแทนสูง ตกมูลค่าความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท “พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ” ผกก.1 บก.ป.กล่าวว่า สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความที่ ปอศ.เราใช้ระยะเวลาสืบสวนมาสักระยะหนึ่ง จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย
พฤติการณ์การกระทำผิดของกลุ่มผู้ต้องหามีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีความเชื่อมโยงกันทั้งตัวบุคคลและเส้นทางการเงิน ถือว่าเป็นคดีที่สลับซับซ้อนพอสมควร ขณะนี้มีผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งความ และอยู่ระหว่างสอบสวนเพิ่มเติม นอกจากนี้ คดีสำคัญในช่วงที่ตนเป็น ผกก.1 เกิดขึ้นเมื่อปี 2563 ใน คดีอุ้มฆ่า พี่ชายผู้พิพากษาตนมองว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์ มีการลักพาตัวพี่ชายผู้พิพากษา ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีเดิมของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์
คดีสะเทือนขวัญนี้ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญโดยมอบหมายให้ กก.1 รับผิดชอบทั้งการสอบสวนและสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถจับกุม พ.ต.ท.บรรยิน พร้อมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ เริ่มตั้งแต่รับแจ้งความทำการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานอย่างเต็มที่เพื่อขอศาลออกหมายจับ ทำสำนวนส่งอัยการแล้วมีคำสั่งฟ้อง จนสุดท้ายไปถึงศาลตัดสินลงโทษเรียบร้อย ไม่ใช่ทำสำนวนชั้นสอบสวนเพื่อมีพยานหลักฐานแค่สั่งฟ้องเท่านั้น
“เป็นนโยบายของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก.สมัยยังเป็นผู้กำกับกอง 1 ทุกคดีที่ลงไปเล่นต้องเอาผิดทั้งในชั้นอัยการและชั้นศาล หลักฐานต้องเต็มร้อยสำนวนต้องเป๊ะ ตามรูปแบบเข้มข้น ดุดัน ชัดเจน รวดเร็ว ยึดหลักตามพยานหลักฐานที่มี หากบุคคลนั้นไม่ใช่ผู้กระทำผิดก็ให้ความเป็นธรรม ผมได้ยึดถือปฏิบัติโดยตลอดเหมือนมารับไม้ต่อ รวมทั้งในเรื่องการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด หรือผู้มีอิทธิพลอย่างจริงจังไม่เว้น และเรื่องการสอบสวนต้องทำให้ศาลตัดสินได้โดยไม่มีดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ” ผกก.ธง กล่าวถึงหัวหน้าและเพื่อนร่วมรุ่น
ประวัติ พ.ต.อ.ธงชัย พื้นเพเป็นชาว จ.อ่างทอง มีแรงบันดาลใจอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อ เรียนที่โรงเรียนวัดก่อนสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดได้ เป็นคนตั้งใจเรียนและมีผลการเรียนที่ดี ตัดสินใจสอบเข้าเตรียมทหารเลือกเหล่าตำรวจ กระทั่งจบ นรต.รุ่น 50 เริ่มรับราชการ รอง สว.(สอบสวน) สน.พลับพลาไชย 2 จากนั้นย้ายเข้า กก.2 บก.ป.ตำแหน่งพนักงานสอบสวน โยกมาทำงานสอบสวนที่ กก.1 แล้วขึ้น ผกก.1 บก.ป.เมื่อปี 2560
ผกก.วัย 46 ปี เล่าว่า ครั้งอยู่ สน.พลับพลาไชย 2 มีโอกาสได้ทำ คดีฆ่าหั่นศพ แหม่มชาวอิสราเอล ย้อนไปเมื่อปี 2547 วันนั้นเวลา 9 โมงเช้า ตนได้รับแจ้งพบกระเป๋าเดินทางบรรจุชิ้นส่วนศพ ลอยไปติดตะแกรงในคลองผดุงกรุงเกษม ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.วุฒิชัย สุคนธวิท ผกก.สภ.ขามทะเลสอ (ขณะนั้นเป็นหัวหน้าชุด) ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่เหมือนโชคเข้าข้างเมื่อเพื่อนตำรวจท่องเที่ยวบอกว่า มีชายชาวอิสราเอลแจ้งความว่าแฟนหายตัว
ดูแล้วสอดคล้องกันพอตรวจค้นกระเป๋าพบ ผ้าเช็ดตัวของโรงแรมแห่งหนึ่ง จึงเดินทางไปห้องพักชายต้องสงสัยก็ไม่พบหลักฐานอะไร ทราบว่ามีการแจ้งย้ายห้องเราก็ตามไปตรวจสอบ ปรากฏว่า ในขณะที่กำลังเดินออกตาดันเหลือบไปเห็น รอยกระเซ็นของเลือดติดที่ประตูห้องน้ำจากนั้นเรียกให้ พฐ.มาตรวจ ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาได้ ตนประทับใจตรงที่เราทั้งสองคนเดินหน้าหาหลักฐานกันตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 9 โมงของอีกวัน เป็นเวลา 24 ชม.ที่ไม่ได้นอน
“พี่วุฒิชัยถือเป็นครูคนแรกในงานสืบสวนสอบสวน หลังจากผมจบมาก็ได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ และเขายังเป็นแบบอย่างอีกด้วย”ผกก.กองปราบ หมายถึง ผกก.สภ.ขามทะเลสอ คนปัจจุบัน
ผกก.1 กองปราบกล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายของตนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. เน้นการทำงานแบบมืออาชีพ เป็นทีม เดินดิน เดินอากาศต้องเก่ง เมื่อมีคดีสำคัญจะบูรณาการฝ่ายสืบสวน สอบสวน และธุรการ 2. เน้นจัดอาคาร สถานที่ มีการจัดรูปแบบให้สวยงามเป็นสัดส่วน มีห้องสันทนาการ ห้องศูนย์ปฏิบัติการ มีลานอเนกประสงค์ ลานกีฬา และห้องสอบสวนในช่วงโควิด-19 มีโครงการรับแจ้งความร้องทุกข์ผ่านระบบออนไลน์ 3. เน้นขวัญ กำลังใจ โดยการมอบอุปกรณ์ป้องกัน ชุดทำงาน ฯลฯ
ตนให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นหลักใครที่มาแจ้งความ ปรึกษาคดี ขอความช่วยเหลือ ตำรวจต้องมีจิตใจให้บริการในการสอบถาม ให้ข้อมูล แนะนำ เพื่อนำคนร้ายเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม จะไม่เกิดเหตุการณ์ไม่รับคดี เว้นเสียแต่พิจารณาแล้วไม่เข้าหลักเกณฑ์สอบสวนโดยเฉพาะคดีที่โรงพักท้องที่ไม่สามารถจับกุมได้ คดีที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก คดีที่เกิดความเสียหายจำนวนมาก คดีผู้มีอิทธิพล หรือคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ต้องได้รับการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเร่งด่วน
“การได้เห็นรอยยิ้มของผู้เสียหาย เห็นคนร้ายถูกศาลตัดสินลงโทษ เป็นสิ่งที่ตนและตำรวจทุกคนภาคภูมิใจ ตราบใดที่เราเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน” ผกก.เมืองหลวงแห่งกองปราบ กล่าว.