MGR Online - “กรมคุมประพฤติ” จับเมาแล้วขับทะลุ 3,730 คดี ย้ำมาตรการคุมเข้ม ติดอุปกรณ์ EM พบผิดซ้ำส่งเข้าค่ายปรับพฤติกรรม
วันนี้ (15 เม.ย.) นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ เผยสถิติที่ศาลสั่งคุมความประพฤติเข้าสู่วันที่ห้า คือ 14 เม.ย. มีทั้งหมด 1,648 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถในขณะเมาสุรา 1,646 คดี คดีขับรถประมาท 2 คดี ซึ่งมีตัวเลขสถิติยอดรวม 5 วันที่มีการควบคุมเข้มงวด (10-14 เม.ย.) จำนวนทั้งสิ้น 3,743 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถในขณะเมาสุรา 3,730 คดีคิดเป็นร้อยละ 99.66, คดีขับเสพ 11 คดีคิดเป็นร้อยละ 0.29 และ คดีขับรถประมาท 2 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.05 ส่วนจังหวัดที่มีสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราสะสมสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ 1. ชัยภูมิ 290 คดี 2. เชียงราย 264 คดี และ 3. บุรีรัมย์ 251 คดี
นายวิตถวัลย์กล่าวอีกว่า กรมคุมประพฤติเน้นย้ำมาตรการคุมเข้มสำหรับผู้กระทำผิดในฐานความผิดขับรถในขณะเมาสุรา โดยศาลสั่งใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) 11 ราย ยอดสะสม 5 วัน ขยับเป็น 19 ราย โดยมีเงื่อนไขห้ามออกจากที่พักอาศัยในช่วงเวลาตั้งแต่ 22.00-04.00 น. เป็นระยะเวลา 15 วัน พักใช้ใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 6 เดือน เฝ้าติดตามและควบคุมดูแลผู้กระทำผิดตลอด 24 ชั่วโมงผ่านศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring Control Center - EMCC)
“อีกทั้งยังมีการคัดกรองตามแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกราย หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงในการติดสุราจะส่งบำบัดรักษาอาการติดสุรา ณ สถานพยาบาล ตลอดจนประเมินความเสี่ยงต่อการกระทำผิดซ้ำเพื่อควบคุมเข้มงวด หรือพบว่ามีประวัติการกระทำผิดซ้ำจะนำส่งเข้ารับการแก้ไขฟื้นฟูแบบเข้มข้นในรูปแบบค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นระยะเวลา 3 วันต่อเนื่อง ซึ่งมีกิจกรรมทั้งการให้ความรู้ และการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากผู้ขับรถขณะเมาสุรา เพื่อสร้างจิตสำนึกในเรื่องความรับผิดชอบต่อผลการกระทำของตัวเองที่มีต่อบุคคลอื่นและสังคม”
นายวิตถวัลย์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กรมคุมประพฤติโดยสำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ ร่วมกับอาสาสมัครคุมประพฤติ ภาคีเครือข่าย และผู้ถูกคุมความประพฤติยังคงสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการให้บริการประชาชน พร้อมทั้งจัดให้มีการทำงานบริการสังคม โดยการตรวจเยี่ยม แจกน้ำดื่ม ตรวจวัดอุณหภูมิและให้คำแนะนำในการป้องกันตนเองจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แก่ประชาชนที่เดินทาง ณ จุดบริการประชาชน ด่านชุมชน และด่านตรวจค้น จำนวน 65 จุด มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนทั้งสิ้น 439 คน