“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 ตอน ยึกยักฉีดวัคซีน ฉุดความเชื่อมั่น
วัคซีนป้องกันโควิด – 19 เข็มแรกของไทย ถูกปักลงแขน อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากนั้นตามด้วยรัฐมนตรีอีก 4 ราย เรียงคิวลงเข็มเป็นหนูทดลอง
แต่กว่าจะลงเอยได้ ก็เป็นประเด็นดราม่ากันยกใหญ่ หลังจากที่วัคซีนจาก 2 ค่าย ทั้งแอสตราเซเนกา และซิโนแวค บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาแตะรันเวย์ประเทศไทย โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปรอรับถึงประตูเครื่องบิน เพื่อชักภาพประวัติศาสตร์
ก่อนหน้านั้น นัดกันมั่นเหมาะ วัคซีนเข็มแรกนี้จะถูกฉีดให้ผู้นำเบอร์ 1 ของประเทศ คือพล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ในช่วงเช้าตรู่ ข่าวแพร่สะพัดประชาชนก็เฝ้ารอดู นายกฯบิ๊กตู่ ฉีดวัคซีน พระอาทิตย์วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ไม่ทันตกดิน เจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล สอดรับกับโฆษกรัฐบาลให้ข่าวว่า
ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นี้ จากที่นายกฯจะเป็นคนแรกที่ได้รับวัคซีน จากตำแหน่งผู้เล่นลงสนามเองกลับกลายเป็นว่า “บิ๊กตู่” จะไปเป็นแค่กรรมการ มาเป็นสักขีพยานแทน นั่นคือยังไม่ฉีด
หันซ้ายแลขวา ประชาชนออกอาการงงงวย สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น “วัคซีน”นี้น่ากลัวหรืออย่างไร ทำไมนายกฯถึงกลับต้องบ่ายเบี่ยงไม่ยอมฉีดโชว์
ก่อนจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ แพทย์ชี้แจงว่าวัคซีนจากค่ายแอสตราเซเนกา ที่เหมาะกับคนอายุ 60 ปีขึ้นไปยังติดปัญหาเทคนิคด้านการตรวจสอบ ดังนั้นนายกฯจึงต้องรอเวลาไปก่อน เป็นอันเข้าใจได้ในเชิงเทคนิค
แต่สิ่งที่เขย่าคนขวัญอ่อน กลัวทั้งเข็มกลัวทั้งโควิด หนีไม่พ้น ท่าที “เสี่ยหนู” ที่จะยังไม่ฉีดแต่จะมาให้กำลังใจ เช่นเดียวกับนายกฯ โดยจะให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขชิมรางก่อน ไม่ทราบว่างานนี้ “หมอหนู” หวั่นว่าจะล้ำหน้านายกฯหรือมีประเด็นอื่นแทรก ทั้งที่หากเทียบความพร้อมแล้ว “หมอหนู” ถือว่าผ่านทุกเกณฑ์ แบบไม่มีความเสี่ยง
ทั้งอายุยังน้อย สุขภาพร่างกายแข็งแรง แถมมีคุณหมอคนสวยคอยดูแลใกล้ชิด ไม่น่าจะติดขัดประเด็นไหนเลย
แต่ทำไมถึงกลับไปกลับมา ให้ชาวบ้านเกิดคำถามกัน ?
ในที่สุดทนกระแสดรามาไม่ไหว ตกปากรับคำมาฉีดวัคซีนคนแรก พร้อมด้วย “หมอตี๋” สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และอีก 3 รมต.
แค่บททดสอบวัคซีน ทำให้ชาวบ้านส่ายหน้า รัฐบาลเสียแต้มจากความรู้สึกจากประชาชน ทำให้เกิดความล้มเหลวด้านความเชื่อมั่น
เพราะกระทั่งหัวขบวน ก็ออกอาการไม่มั่นใจในวัคซีน แถมข่าวสารจากต่างประเทศก็มีมาสารพัด ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง รัฐบาลควรอุดช่องว่างด้านความรู้สึกประชาชนให้มากกว่านี้
ไม่รวมกรณีที่ผ่านมา กับการนำเช้าล่าช้ากว่าหลายประเทศ กระทั่งกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกัมพูชา อินโดนีเซีย ฉีดล่วงหน้าไปก่อนหน้านี้แล้ว แม้ทางไทยจะให้เหตุผลแบบหล่อๆ ว่า
ไทยไม่ได้มีสถานการณ์เลวร้ายมาก แต่อย่าลืมว่าประเทศไทยมีรายได้หลักจากการท่องเที่ยว ถ้าหากมีการฉีดวัคซีนให้คนไทยพร้อมๆกันหมดได้ ต่างชาติจะเข้ามาก็เกิดความเชื่อมั่นว่า จะสามารถไปได้ในทุกๆที่ การท่องเที่ยวในประเทศจะกลับมาฟื้นตัว
กับปัญหาโควิด รัฐบาลยังติดขัดทั้งในแง่นโยบาย ทิศทาง การสื่อสาร ควรชัดเจน ให้ประชาชนเชื่อมั่นเชื่อถือ ไม่ใช่ปล่อยให้ลืมกันไปวันๆ เมื่อไหร่ที่คำถามเยอะ แล้วไม่ตอบ ปัญหาจะตามมาทันที
คงต้องรอดูกันต่อไปว่าในเดือนมิถุนายน “บิ๊กตู่” จะได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาตามที่กำหนดใหม่หรือไม่ หรือให้ประชาชนเป็น “หนูทดลอง”ก่อน