MGR Online - ผบ.ตร.แถลงรวบเครือข่าย 2 โรงแรมในชัยภูมิ และภูเก็ต ทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมหัวกับร้านค้าทำเป็นขบวนการใหญ่ ทำรัฐเสียหายกว่า 100 ล้านบาท เตือนให้หยุดทำ จ่อใช้มาตรการยึดทรัพย์เล่นงาน
วันนี้ (27 ม.ค.) เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ทท. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. นายเขมพล อุ้ยตระกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา น.ส.สภัทร์พร ธรรมาภรณ์พิลาส รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจและการคลัง กระทรวงการคลัง และนายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกำกับกฎเกณฑ์และกฎหมาย ธนาคารกรุงไทย ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการทุจริตโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” จับกุมผู้ต้องหา 50 ราย หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตำรวจกองปราบปรามกระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 55 จุด
พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า สำหรับโครงการนี้เป็นโครงการที่มีประโยชน์ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงานในภาวะลำบาก แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งทุจริตซึ่งมีจำนวนมาก ทั้งนี้ ได้ออกหมายจับผู้ประกอบการที่อยู่ในขบวนนี้ 2 แห่ง ใน จ.ชัยภูมิ มีหมายจับ 41 คน จับได้ 36 คน และ จ.ภูเก็ต จับได้ 14 คน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าหากสอบสวนพบว่า ยังมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องเพิ่มเติมจะต้องขยายผลดำเนินคดีเพิ่ม เช่น ประชาชนที่จงใจร่วมใช้สิทธิในลักษณะทุจริต โดยเบื้องต้นคาดมีมากถึง 9,000 คนทั่วประเทศ และเตรียมเรียกตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบถึงวันนี้ยังไม่พบเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง
ด้าน พ.ต.อ.เอนกกล่าวว่า จากการสืบสวนร่วมกันของ บก.ป. ศปอส.ตร. และ บช.ทท. พบมีผู้ประกอบธุรกิจที่กระทำการเข้าข่ายทุจริตหลายรูปแบบ เช่น เปิดให้มีการจองห้องพัก แต่ไม่มีการเข้าพักจริง, นำคูปองที่ได้รับหลังเช็กอินห้องพักไปสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าแต่ไม่มีการซื้อสินค้าจริง, บางโรงแรมมีที่ตั้งจริง ลงทะเบียนถูกต้องแต่ยังไม่เปิดให้บริการ กลับมีการเปิดให้จองห้องพัก หรือมีการตั้งราคาจองห้องพักไว้แพงเกินจริง หวังกินส่วนต่างราคาส่วนลด
พ.ต.อ.เอนกกล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีที่ จ.ชัยภูมิ ชุดปฏิบัติการ กก.3 บก.ป. นำโดย พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. นำกำลังเข้าค้นโรงแรมณัฐชญา รีสอร์ต และผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 41 ราย 38 จุด แบ่งเป็น เจ้าของโรงแรม 1 ราย เจ้าของร้านค้า 22 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ 14 ราย ผู้รับจ้างเปิดบัญชี 3 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 1 ราย ทั้งนี้มีการกระจายอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัด คือ ชัยภูมิ, เลย, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์ และศรีษะเกษ
“ผลการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหารวม 36 ราย พบว่ามีพฤติการณ์ลงทะเบียนเป็นรีสอร์ตขนาดเล็ก มีห้องพักทั้งหมด 10 ห้อง นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2563 ถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้สิทธิโครงการจำนวน 9,263 ราย ยอดจองห้องพัก 92,028 ห้อง เฉลี่ย 1,000-3,000 ห้องต่อวัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และยังพบว่ากว่าร้อยละ 99 ของการจองห้องพัก 1 คน จะจอง 10 ห้อง เต็มทุกครั้ง และเวลาในการเช็กอินและเช็กเอาต์ทับซ้อนไม่สัมพันธ์กัน นอกจากนี้ยังพบว่า คูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพักที่ใช้สำหรับสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าโครงการมียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติรวม มูลค่าความเสียหายในส่วนของโรงแรมณัฐชญา รีสอร์ต รวม 14,000,000 บาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดจำนวน 101 ร้าน ความเสียหายประมาณรวม 87,000,000 บาท"รองผบก.ป.กล่าว
พ.ต.อ.เอนก กล่าวอีกว่า ผู้ต้องหามีการกระทำเป็นขบวนการโดยจะมีผู้ซื้อสิทธิ ตามหาซื้อสิทธิในโครงการโดยให้ค่าตอบแทนรายละ 400-500 บาท เมื่อประชาชนขายสิทธิให้แล้วผู้ซื้อสิทธิจะให้เจ้าของสิทธิติดตั้งแอพพลิเคชั่นเป๋าตังก่อน จากนั้นผู้ซื้อสิทธิจะนำเอาโทรศัพท์ของเจ้าของสิทธิไปดำเนินการจองโรงแรมและใช้คูปองหรืออีกวิธีหนึ่งคือจะนำเอาข้อมูลบัตรประชาชนและซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วไปขายต่อให้กับผู้สวมสิทธิโดยจะขายให้ผู้สวมสิทธิในราคา 800-1,000 บาท เมื่อผู้สวมสิทธิได้รับสิทธิจากโครงการดังกล่าวแล้วจะว่าจ้างให้ผู้ร่วมขบวนการกรอกข้อมูลเพื่อจองห้องพักกับทางโรงแรม โดยจะมีกลุ่มที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารอีกกลุ่มหนึ่งที่คอยทำธุรกรรมทางการเงินแทนเจ้าของสิทธิ หลังจากที่ผู้สวมสิทธิทำการเช็กอินตามห้องพักที่ได้ทำการจองไว้ทางผู้สวมสิทธิจะนำคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุม
พ.ต.อ.เอนกกล่าวต่อว่า ส่วนที่กรณีที่ จ.ภูเก็ต ชุดปฏิบัติการของ กก.5 บก.ป. นำโดย พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5 บก.ป. นำกำลังเข้าค้นโรงแรมธาราป่าตอง และเครือข่ายรวม 14 ราย ประกอบด้วย เจ้าของโรงแรม 3 ราย เจ้าของร้านค้า 2 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ 5 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 4 ราย มีประชาชนร่วมทุจริตรวมกว่า 800 ราย ผลการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหารวม 14 ราย มีพฤติกรรมการทุจริตแตกต่างกันออกไป โดยโรงแรมจะร่วมมือกับผู้จัดทัวร์มีการเชิญชวนว่าหากประชาชนจองห้องพักเต็มสิทธิจะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์เป็นจำนวน 3 วัน 2 คืนโดยไม่มีการเข้าพักโรงแรมจริง นอกจากนี้ ผู้จัดทัวร์กิจกรรมยังให้ประชาชนชำระค่าบริการในการทำกิจกรรม โดยให้สแกนคูปองที่ได้รับหลังจากการเช็กอินห้องพัก มาสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุมไว้ พบรัฐเสียหายจากโรงแรม 18 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดจำนวน 2 ร้านค้า ความเสียหาย 3.9 ล้านบาท
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง, ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนฯ และข้อหาร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ ทั้งนี้ พฤติกรรมการกระทำความผิดในคดีนี้มีลักษณะของการฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งก็จะได้ประสานไปยัง ปปง.ดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินต่อไป ส่วนใครที่ยังคิดจะทำในลักษณะนี้อยู่ ก็ขอเตือนให้หยุดกระทำ เพราะสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงแรมอื่นยังมีอยู่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด จะแบ่งมอบหมายให้แต่ละภาคดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังและ ททท.แจ้งมา
ขณะที่นายพงษ์สิทธิ์กล่าวว่า ในส่วนของธนาคารกรุงไทยหลังจากตรวจพบความผิดปกติและมีการอายัดการทำธุรกรรมตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. 2563 จึงพบความเสียหายบางส่วนเท่านั้น โดยมูลค่าความเสียหายยังไม่สามารถประเมินได้ เรื่องพฤติการณ์กระทำผิดมีสองส่วนที่พบความผิดปกติ คือ โรงแรม และอีกส่วนคือประชาชนที่ใช้สิทธิ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด เพราะผู้กระทำผิดมีการเปลี่ยนแผนประทุษกรรมซึ่งเราไม่สามารถเปิดเผยแผนประทุษกรรมของผู้กระทำผิดได้ เกรงจะมีการลอกเลียนแบบ
ด้านน.ส.สภัทร์พรกล่าวว่า อยากจะฝากเตือนสำหรับผู้ที่คิดจะทุจริตโครงการเราชนะ เพราะจะผิด
วัตถุประสงค์ และเงื่อนไขของโครงการ โครงการนี้จะนำเงินเข้าแอปพลิเคชันเพื่อจะใช้จ่ายในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ หากมีการนำเงินออกนอกระบบจะตรวจจับได้ว่าออกมาแบบไหน และภาครัฐสามารถดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดได้ทุกราย