“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันพุธที่ 20 มกราคม 2564 ตอน เจ๊กตื่นไฟ ซ่อนเลศนัย "ธนาธร"เปิดศึกชิงอำนาจ
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาทำตัวเป็นพวกsuper spreader แพร่เชื้อร้ายเข้าสู่สังคมไทย ทำให้แผ่นดินเดือดขึ้นมาอีกครั้ง กับการจัดรายการไลฟ์สดผ่านสื่อออนไลน์ ในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ ใครเสีย”
ข้อความที่ธนาธรสื่อไว้ กลายเป็นประเด็นร้อนในบ้านเมืองตอนนี้ คาดการณ์ว่า คงจะมีผลสะเทือนตามมาอีกมาก ซึ่งรออีกไม่นานจะได้รู้ว่า ใครได้ ใครเสีย กับฝีมือการโยนระเบิดของธนาธรในครั้งนี้
ตลอดเวลาในรายการครึ่งชั่วโมง ธนาธร วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดหาวัคซีนต้านเชื้อโรคไวรัส โควิด-19 ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ดำเนิน บริหารจัดการ ด้วยการตั้งคำถามสองข้อหลัก คือ หนึ่ง,
คนไทยสงสัยหรือไม่ ทำไม ประเทศไทยถึงได้วัคซีนไม่ได้สัดส่วนกับประชากร และสอง,สงสัยหรือไม่ ทำไมคนไทยถึงได้ฉีดวัคซีนช้ากว่าประเทศอื่น
ธนาธร ใช้เวทีนี้ ติเรือทั้งโกลน ในการพูดเรื่อง “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ ใครเสีย” โดยพูดตำหนินโยบายการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล ไม่มีประสิทธิภาพล่าช้า ไม่มีความโปร่งใส มีผลประโยชน์ทับซ้อน
โดยเขาเลือกพูดถึงบริษัท สยามไบโอไซน์ ซึ่งได้เป็นผู้ผลิตวัคซีน ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทสยามไบโอไซน์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้าอยู่หัว ร. 9 และปัจจุบัน ในหลวง ร. 10 ทรงถือหุ้นอยู่100 เปอร์เซ็นต์
การวิพากษ์วิจารณ์ถึงบริษัทของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ธนาธรเลือกที่จะพูดผ่านความคิดของตนเอง ที่มองด้านเดียว ด้วยการเน้นว่าเป็นบริษัทที่มีผลดำเนินการขาดทุนมาตั้งแต่ปีแรกที่ก่อตั้ง คือพ. ศ. 2552
เป็นความตั้งใจสะท้อนให้สังคมเห็นว่า บริษัทแห่งนี้ ไม่มีความสามารถในเชิงบริหารงานทางธุรกิจ แต่กลับได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตวัคซีน ซึ่งธนาธรตอกย้ำว่า สยามไบโอไซน์ไม่เหมาะสมในการเป็นผู้ได้รับสิทธิ์เป็นผู้ผลิตวัคซีน เพราะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน ด้วย
ธนาธรพูดประเด็นนี้ ก็เป็นการสอดคล้องกับการรณรงค์เคลื่อนไหวในระยะนี้ของกลุ่มราษฎร ม็อบสามนิ้วที่กำลังตระเวนติดป้าย ยกป้าย ที่มีข้อความว่า การจัดหาวัคซีนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก พร้อมไปกับการเดินสายรณรงค์ยกเลิก ม. 112 ความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันฯ
ข้อมูลที่นายธนาธรตั้งใจหยิบมาว่ากล่าว มีประเด็นสำคัญว่ารัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เงินอุดหนุนบริษัทสยามฯไปก่อน 500ล้านบาท ก็เป็นการสื่อออกมา เพื่อหวังให้คนทั่วไปเห็นว่า นายกฯประยุทธ์ใช้งบประมาณแผ่นดิน เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน ที่มีราชสำนักเป็นเจ้าของ
ซึ่งธนาธรตั้งแง่เช่นนี้ เป็นการตั้งใจไม่พูดความจริงทั้งหมด ซึ่งเป็นการไม่เป็นธรรมกับฝ่ายทางการและบริษัทฯ เพราะเงิน500 ล้านบาทที่จ่ายเงินไปล่วงหน้าให้บริษัทสยามไบโอไซน์ ก็ได้มีคำชี้แจงจากผู้รู้ว่า บริษัทจะชดใช้คืนเป็นวัคซีนเท่ามูลค่าจำนวนเงิน 500 ล้านบาท
การทำสัญญาทางธุรกิจแบบนี้ เป็นเรื่องก็พอเข้าใจได้ ซึ่งนายธนาธรคงเคยทำมาแล้วเช่นกันเนื่องจาก การจ่ายเงินล่วง ถือว่าเป็นครรลองการสั่งซื้อสินค้าตามปกติทางธุรกิจ ทำกันอยู่แล้ว นับเป็นเงื่อนไขธุรกิจการค้าอย่างหนึ่ง ที่อาจจะมีเงินล่วงหน้า หรือ วางเงินมัดจำ หรืออาจจะมีเงินประกัน ก็เป็นเรื่องปกติ
เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวง ที่นายธนาธรพูดถึงเรื่องวัคซีน เชื่อมโยงพาดพิงรัฐบาลกับบริษัทสยามไบโอไซน์ รู้เห็นเป็นใจกันนั้น เป็นการสื่อสารที่บิดเบือน ยัดเยียดโจมตีให้ร้าย ให้คนรับสารเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน มากกว่าสร้างสรรค์
มองได้ว่า การกระทำของธนาธร เป็นการวางแผนมา เพื่อหวังผลทางการเมืองอย่างเดียว
การพูดอย่างมีเลศนัย ที่ตั้งประเด็นในด้านลบด้านเดียว ส่อเจตนาร้ายแน่ เนื่องจาก เรื่องนี้ความจริงยังไม่มีอะไรเสียหาย และในอนาคต ก็คงจะมีไม่ได้ ที่เรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นตามอย่างที่ธนาธรแสดงความกังวลไว้
อาการและท่าทีธนาธรต่อการสื่อสารกับสังคมครั้งนี้ น่าจะเรียกว่าเป็นอาการ เจ๊กตื่นไฟ ให้เหตุผลแบบมั่วๆ จนไม่น่าเชื่อถือ
ประเด็นที่ธนาธรว่ามา จงใจสร้างข่าวทางลบทั้งสิ้น เช่นว่าการผลิตวัคซีน ไม่แนใจการผลิตจะสำเร็จได้เรียบร้อยหรือไม่ เพราะบริษัทสยามไบโอไซน์ไม่เคยทำวัคซีน
ข้อนี้ก็ตอบได้ง่ายๆว่า ถึงแม้บริษัทสยามไบโอไซน์จะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อนก็จริง แต่บริษัทผู้จ้างคือแอสตร้า เซเนก้า ก็รับผิดชอบในการควบคุมดูแลการผลิต เจ้าหน้าที่แอสต้าจะมาคุมเอง ดังนั้นคงไม่ปล่อยให้เกิดความผิดพลาด เสียชื่อบริษัทของตัวเอง แน่
ส่วนประเด็นการตั้งตัวเลขสัดส่วนการได้วัคซีนเทียบกับจำนวนประชากร ที่ธนาธรว่าประเทศไทยจะมีการแจกจ่ายฉีดให้ประชาชนมีเปอร์เซ็นต์ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ก็เป็นการด่วนสรุป ด้วยความมีอคติอยู่เต็มสมอง เสียมากกว่า
เพราะรัฐบาลก็เร่งทะยอยหาวัคซีนมาเพิ่มเรื่อยๆ ทั้งจากแอสต้า เซนเก้าและซิโนแวค จากประเทศจีน รวมทั้งถ้าสยามไบโอไซน์ผลิตได้เอง คนไทยก็จะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ล้นประเทศในเวลาอันรวดเร็ว จะไปกังวลทำไม อีกทั้งเรื่องฉีดช้าก็มีผลดี เพราะไม่ต้องเร่งรีบ เอาวัคซีนทดลองมาใช้ จนคนไทยกลายเป็นหนูลองยา
ยิ่งประเด็นที่ยกมาดิสเครดิตบริษัท สยามไบโอไซน์ ทำธุรกิจขาดทุนมาตลอดนั้น ยิ่งแสดงว่าธนาธรไม่ได้ศึกษาถึงเจตนารมณ์การจัดตั้งบริษัท พระเจ้าอยู่หัว ร. 9 ทรงมีพระราชประสงค์ตั้งขึ้นเพื่อเป็นพระราชกุศล ไม่ได้แสวงหากำไร
ธนาธรน่าจะรู้ความจริง แล้วทำไมไม่เอามาพูด และธนาธรคงรู้ดีด้วยว่า หากบริษัทสยามไบโอไซน์คิดจะทำกำไร เหมือนบริษัทยาทั่วไป ทำไมจะทำไม่ได้
สรุปว่า การออกมาโจมตีรัฐบาลกระทบต่อสถาบันเบื้องสูง มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากว่า การกระทำของธนาธรเป็นการจงใจสร้างชุดข่าวสารข้อมูลชุดใหม่ ที่ฉกฉวยสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โยนเรื่องเท็จ ข้อความในทางด้านลบในเรื่องวัคซีน ให้กับฝ่ายรัฐ
โดยมีเป้าหมาย...เพื่อเตรียมการ เปิดฉากทำศึก ชิงอำนาจชาติไทยรอบใหม่ อย่างแน่นอน