ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 37 ปี 4 เดือน “โก้” ก่อเหตุใช้ไม้เบสบอลเหล็กฆ่าโหด “ไฮโซเชอรี่” สาวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชี้เจตนาฆ่าผู้ตาย ไม่ใช่เหตุบันดาลโทสะ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ ( 4 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีฆ่า “ไฮโซเชอรี่” หมายเลขดำที่ อ.3493/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัศยา หรือโก้ ชัยภา อายุ 35 ปีเศษ ชาว จ.ชัยภูมิ เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.288, ทำให้เสียหายซึ่งเอกสารของผู้อื่น ม.188, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ในการเบิกถอนเงินสดหรือชำระสินค้า 269/5, 269/7 และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2561 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 26-27 ก.ค. 2561 เวลากลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยใช้ไม้เบสบอลเหล็กขนาดยาว 70 ซม. เป็นอาวุธตีที่ศีรษะ ใบหน้า ลำตัว และสะบักขวาของ น.ส.ธิติมา หรือไฮโซเชอรี่ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ อายุ 39 ปี นักธุรกิจสาวด้านอสังหาริมทรัพย์ แฟนสาว ที่อวัยวะสำคัญหลายครั้ง ทำให้ น.ส.ธิติมามีบาดแผลที่ศีรษะ ใบหน้า กราม สะบักขวา กะโหลกศีรษะแตก เลือดคั่งในสมอง กระดูกซี่โครงด้านขวาหักจนถึงแก่ความตาย หลังก่อเหตุจำเลยได้ลักทรัพย์ของผู้ตายเป็นรถยนต์เบนซ์, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องประดับ กระเป๋าแบรนด์เนมของผู้ตายไป มูลค่า 1,080,000 บาท รวมทั้งเอกสารบัตรเดบิต ธนาคารออมสิน ของผู้ตายไปใช้ประโยชน์ในการเบิกถอนเงินหรือชำระสินค้าบริการอื่น หลบหนีไปประเทศกัมพูชา เหตุเกิดในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งย่านซอยประดิษฐ์มนูธรรม 19 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. โดยจำเลยให้การรับสารภาพ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2562 ว่า จำเลยใช้ไม้เบสบอลซึ่งเป็นท่อนเหล็กขนาดใหญ่ตีศีรษะผู้ตาย เป็นอวัยวะสำคัญ จนทำให้กะโหลกศีรษะแตกหลายเสี่ยง ย่อมเล็งเห็นผลมีเจตนาฆ่า ส่วนที่จำเลยอ้างเป็นการบันดาลโทสะ เนื่องจากผู้ตายด่าทอและพาดพิงบิดามารดาจำเลย และที่ผ่านมามีปากเสียงทะเลาะวิวาทบ่อยครั้ง เห็นว่าการบันดาลโทสะ ต้องเกิดจากการกระทำที่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุเป็นธรรม ซึ่งในวันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายอยู่ในห้องด้วยกัน 3 ชั่วโมง เชื่อว่าไม่น่ามีปากเสียงทันทีที่เข้าห้องพักตามที่จำเลยอ้าง กรณีไม่อาจถือว่าผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรง โดยสาเหตุน่าจะมาจากความหึงหวง หรือจำเลยขอเงินผู้ตายไปชำระหนี้พนัน เพราะหลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีเข้าบ่อนประเทศกัมพูชา การกระทำของจำเลยไม่ใช่เหตุบันดาลโทสะ ส่วนที่จำเลยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบไปซื้อสินค้าและลักทรัพย์ เมื่อจำเลยถูกจับกุมพบมีทรัพย์สินของผู้ตายหลายรายการ และจำเลยก็ให้การว่านำเงินไปใช้จ่ายที่ประเทศกัมพูชา ถือเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุกตลอดชีวิต, ลักทรัพย์ จำคุก 3 ปี และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน แต่การนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 33 ปี 4 เดือน, ลักทรัพย์ จำคุก 2 ปี และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลย 37 ปี 4 เดือน พร้อมริบของกลาง และให้คืนทรัพย์สินแก่โจทก์ร่วม ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์
ในวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายอัศยา หรือโก้ จำเลยจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มาฟังคำพิพากษาพร้อมทนายความ ส่วนอัยการโจทก์ไม่ได้มาศาล
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว มีประเด็นพิจารณาว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะตามที่อุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นขณะจำเลยก่อเหตุฆ่าผู้ตาย แต่ปรากฏภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมว่าจำเลยกับผู้ตายทั้งสองคนอยู่ด้วยกันในห้องพักของโรงแรมในวันเกิดเหตุ นอกจากนี้ยังมีพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันภาพจากกล้องวงจรปิดดังกล่าว จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบไม้เบสบอลเหล็กตกอยู่บนเตียงในห้องพักดังกล่าว ซึ่งผลตรวจพิสูจน์พบดีเอ็นเอของจำเลยติดอยู่ที่ด้ามจับไม้เบสบอลเหล็ก ประกอบกับหลังเกิดเหตุจำเลยได้จับรถยนต์ของผู้ตายไปจอดทั้งไว้ ก่อนเดินทางหลบหนีไปประเทศกัมพูชา โดยเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวจำเลยได้พร้อมกับทรัพย์สินของผู้ตายบางรายการที่ถูกลักเอาไป พยานหลักฐานโจทก์เชื่อมโยงสอดคล้องกันกับที่จำเลยให้การว่าได้ใช้ไม้เบสบอลเหล็กตีผู้ตาย 3-4 ครั้ง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุฆ่าผู้ตาย ที่จำเลยอ้างว่าบันดาลโทสะเนื่องจากถูกทะเลาะมีปากเสียงกันเรื่องภรรยาเก่า และถูกผู้ตายดุด่าจนเกิดความโกรธนั้น เห็นว่าการบันดาลโทสะนั้นจะต้องเกิดจากการกระทำที่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม แต่ปรากฏว่าก่อนหน้านี้ผู้ตายก็เคยดุด่าจำเลยในลักษณะเดียวกันมาหลายครั้งแล้ว พฤติการณ์ยังไม่ได้เป็นการกระทำที่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จึงไม่ใช่เหตุบันดาลโทสะ นอกจากนี้จำเลยยังมีความผิดฐานลักทรัพย์และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นด้วย อุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษมานั้นเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืนจำคุกจำเลยรวม 37 ปี 4 เดือน ตามศาลชั้นต้น