ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง “พ.อ.นที” รองประธาน กสทช. ไม่ผิดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีสั่งอาร์เอสถ่ายทอดสัญญาณฟุตบอลโลก 2014 ทางฟรีทีวี
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (5 ส.ค.) ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำที่ อ.3209/2557 ที่บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเม้นท์ จำกัด (อาร์เอสบีเอส) บริษัทในเครือบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เจ้าของลิขสิทธิ์ที่ได้รับอนุญาตจากสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) ให้เป็นผู้เผยแพร่ภาพและเสียงการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี ค.ศ. 2014 แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ทำให้เกิดความเสียหายกับผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 5 พ.ย. 2555 - 30 เม.ย. 2556 ต่อเนื่องกัน จำเลยซึ่งเป็นกรรมการ กสทช.ได้ให้ความเห็นชอบในการออกประกาศ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 และการกำหนดประเภทรายการลำดับที่ 7 ในภาคผนวก (Must Have - มัสต์แฮฟ) ที่กำหนดให้รายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจะต้องให้บริการเป็นรายการทั่วไป โดยไม่ฟังคำโต้แย้งจากโจทก์ซึ่งเป็นผู้ได้สิทธิในการถ่ายทอดสดฟุตบอล ปี ค.ศ. 2014 ประเทศบราซิล ซึ่งประกาศดังกล่าวทำให้บริษัท อาร์เอสบีเอส ที่ได้รับอนุญาตจากฟีฟ่า ได้รับความความเสียหาย เหตุเกิดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
คดีนี้ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2561 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าการลงมติและออกประกาศดังกล่าวเป็นไปตามการพิจารณาของที่ประชุม กสทช.ซึ่งเป็นการทำในรูปแบบของคณะกรรมการ มิใช่พิจารณาโดยจำเลยเพียงลำพัง ขณะที่การพิจารณาก่อนออกร่างประกาศดังกล่าว ทางจำเลยก็มองหมายให้เจ้าหน้าที่ในสำนักงาน กสทช.ไปพิจารณาเนื้อหาการถ่ายทอดรายการเกี่ยวกับกีฬาอย่างรอบด้าน ซึ่งมีการพิจารณาถึงกีฬาภาคพื้นแถบยุโรป และยังได้ดำเนินตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว โดยที่ประชุม กสทช.ได้มีมติเห็นว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการรับชมรายการโทรทัศน์สำคัญ จึงให้นำรายการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายไปอยู่ในภาคผนวก เพื่อให้มีการแชร์สัญญาณสู่ฟรีทีวี โดยประชาชนทั่วไปสามารถรับชมได้อย่างเสมอภาค เป็นธรรม และเท่าเทียมกัน ซึ่งศาลเห็นว่าแม้จะกระทบสิทธิของโจทก์บ้าง แต่การออกประกาศดังกล่าวก็ได้พิจารณาถึงประโยชน์ของประชาชนทั่วไปเป็นสำคัญ เพื่อให้ได้รับความเสมอภาค
ส่วนที่จำเลยได้แถลงข่าวมีเนื้อหากล่าวถึงมาตรการการปรับการพักใบอนุญาตหากมีการฝ่าฝืนนั้น ก็เป็นการที่จำเลยได้แถลงข่าวให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับมติที่ประชุมและแนวทาง ซึ่งขณะนั้นประชาชนก็ให้ความสนใจในข่าวดังกล่าว โดยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น จะต้องปรากฏว่ามีเจตนาพิเศษที่จะให้ผู้ใดผู้หนึ่งเสียหาย แต่ในทางนำสืบไม่ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ แต่การกระทำของจำเลยนั้นเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของ พ.ร.บ.องค์กรการจัดสรรคลื่นความถี่ฯ และ พ.ร.บ.ประกอบกิจโทรทัศน์ฯ
ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์
โดยในวันนี้ พ.อ.นที จำเลยไม่ได้เดินทาง เนื่องจากศาลอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังไปแล้วเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา จึงมีเพียงทนายความโจทก์มาฟังคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ก่อนออกประกาศเรื่องหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 จำเลยเปิดรับฟังความคิดเห็นของสาธารณชน และเป็นการปฏิบัติโดยชอบทางกฎหมาย และการลงมติเห็นชอบและออกประกาศดังกล่าว เป็นการพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่พิจารณาโดยจำเลยเพียงลำพัง อีกทั้งไม่พบว่าจำเลยได้ โน้มน้าว ข่มขู่ ให้คณะกรรมการเห็นด้วยกับจำเลย และหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นการนำมาปรับใช้กับทุกสถานีไม่ได้เจาะจงเฉพาะโจทก์ จำเลยจึงไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง ส่วนที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกล่าวถึงเจ้าของลิขสิทธิ์ถ้าไม่ทำตามจะมีมาตรการปรับ หรือการพักใบอนุญาตหากมีการฝ่าฝืนนั้นก็เป็นกรณีที่จำเลยได้กล่าวถึงข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริงที่มีการประชุม กสท. ไม่ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาพิเศษหรือได้รับประโยชน์อื่นใด ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้นเหมาะสมแล้วพิพากษายืน ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น