MGR Online - ตำรวจทุ่งสองห้อง พาตัวลูกสาวฟันหน้าผาก-ตัดอวัยวะเพศพ่อเสียชีวิต ตรวจสภาพจิตและหาสารเสพติด ด้านแม่เผย ลูกเริ่มมีอาการป่วยจิตกำเริบเมื่อปี 60 ก่อนพบแพทย์รักษาปี 61
จากกรณีตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งพบศพ นายเกษม บุญญชล อายุ 58 ปี โดนมีดฟันที่กลางหน้าผาก และอวัยวะเพศถูกตัดขาดทั้งพวง ในบ้านเลขที่ 306/141 ซอยชุมชนท่าทราย 3 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับ น.ส.บุญญดา จันทร์จวง อายุ 28 ปี ลูกสาวของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุได้ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (17 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ สน.ทุ่งสองห้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกตัว น.ส.บุญญดา จันทร์จวง อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาในคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ออกจากห้องคุมขังไปตรวจสภาพจิตใจและตรวจหาสารเสพติดที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงสาเหตุที่ลงมือฆ่าพ่อตนเอง ซึ่ง น.ส.บุญญดา โวยวายตลอด และกล่าวเพียงว่า “หนูไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผ่านมา หนูเคยถูกพ่อทำร้ายมาตั้งแต่เด็ก” ขณะเดียวกัน ได้มีเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้เข้ามาทำเรื่องช่วยเหลือเยียวยาให้กับญาติผู้เสียชีวิตตามขั้นตอนกฎหมาย
ด้าน พ.ต.ท.สุรินทร์ ภู่ฤทธิ์ รอง ผกก.สส.สน.ทุ่งสองห้อง กล่าวว่า หลังเกิดเหตุฝ่ายสืบสวนได้แกะรอยติดตามตัวผู้ก่อเหตุ พบว่า ได้ไปหาเพื่อน ก่อนจะนั่งรถแท็กซี่ออกไปไม่ทราบปลายทาง ก่อนไปพบอยู่หน้าปากซอยชินเขต 1/31 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ จึงเชิญตัวมาที่สถานีตำรวจ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสอบปากคำ น.ส.บุญญดา ได้ เนื่องจากผู้ต้องหาพูดจาไม่รู้เรื่อง และเจ้าตัวยังคงให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ด้าน น.ส.เจียรไน (สงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี แม่ของผู้ก่อเหตุได้เดินทางมาที่ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อเยี่ยมลูกสาว พร้อมปรึกษาเรื่องการขอรับศพอดีตสามี ซึ่งกำลังค้นหาเอกสาร เนื่องจากตนได้เลิกรากับผู้เสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนลูกสาวนั้นไม่เจอกันตั้งแต่ช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ทั้งนี้ เมื่อประมาณเดือนเมษายนที่ผ่านมา เริ่มเห็นว่าลูกสาวมีอาการกำเริบเกี่ยวกับสภาพจิตใจ ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2560 และไปพบแพทย์เพื่อรักษาในช่วงปี 2561
มีรายงานว่า น.ส.บุญญดา เคยเดินทางมาที่ สน.ทุ่งสองห้อง บ่อยครั้ง เพื่อแจ้งความเกี่ยวกับคดีของลูกที่ถูกสามีตัวเองข่มขืน ซึ่งทุกครั้งจะเรียกวินรถจักรยานยนต์รับจ้างให้มาส่ง บางครั้งก็ไม่จ่ายเงินให้วินรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องจ่ายค่ารถแทน