MGR Online - กองปราบปรามรวบอดีตเจ้าหน้าที่สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ แอบขโมยเหรียญมาใช้หนี้ 1.2 แสนบาท หลังหนีคดีจนเหลือแค่ 26 วันจะหมดอายุความ
วันนี้ (29 พ.ค.) ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป.สั่งการ พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.กษิดิ์เดช เจริญลาภ สว.กก.2 บก.ป.พร้อมด้วย นายธีรเดช พวงเงิน นักสืบสวนคดีทุจริตชำนาญการ สำนักงาน ป.ป.ช. นำกำลังจับกุม นายศุภชัย หรือธนิก สีดาว อายุ 62 ปี ชาว จ.นนทบุรี ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 1350/2549 ลง 22 มี.ค. 2549 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารกรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสาร โดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น และกระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำการต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ ได้ภายในซอยสุชาวดี ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2543 ขณะที่นายศุภชัยรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานการคลัง สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ มีหน้าที่เก็บและดูแลรักษาเหรียญกษาปณ์ ได้เบิกเหรียญจำนวน 120,000 บาท แต่ไม่มีเอกสารขออนุมัติเบิก และได้นำเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวออกจากสำนักกษาปณ์ เมื่อถูกจับได้ก็ถูกไล่ออกจากราชการและให้ชดใช้เงินคืน ต่อมาศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาไว้ กระทั่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีมาอยู่ในบ้านพักหมู่ที่ 5 ถ.บางกรวย-ไทรน้อย ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี จึงนำหมายค้นเข้าตรวจสอบ แต่ผู้ต้องหาไหวตัวทันวิ่งหลบหนีออกจากบ้านกระทั่งไปจนมุมภายในซอยดังกล่าว อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวจะหมดอายุความในวันที่ 22 มิ.ย. 2563 หรืออีก 26 วันเท่านั้น
สอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเก็บรักษาเหรียญกษาปณ์ แต่ช่วงดังกล่าวมีหนี้สินจึงได้แอบนำเหรียญไปใช้หนี้ โดยคิดว่าถ้ามีเงินจะนำมาใช้คืน แต่ถูกจับได้เสียก่อน หลังจากนั้นก็ถูกไล่ออกจากราชการ และได้ชดใช้เงินจำนวน 120,000 บาทไปแล้ว ภายหลังทราบว่าแม้ชดเชยเงินแล้วแต่ยังมีหมายจับติดตัว จึงได้หลบออกจากพื้นที่มาขายอาหารตามสั่ง สุดท้ายมาหลบอยู่บ้านพักหลังดังกล่าวได้ประมาณ 2 ปี กระทั่งถูกจับกุมดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาตามหมายจับก่อนนำตัวส่งอัยการสูงสุดดำเนินการตามกฎหมายต่อไป