MGR Online – “เลขาธิการ ป.ป.ส.” เผยอยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายพืชกระท่อม วัตถุประสงค์ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจ ไม่ได้ให้เสพอย่างเสรี หรือต้ม 4 คูณ 100 พบช่วงระบาดโควิด-19 นำมาดื่มแทนสุรา
วันนี้ (18 เม.ย.) นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) กล่าวว่า สถานการณ์การลักลอบเสพพืชกระท่อมในขณะนี้มีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการเสพในรูปน้ำต้มพืชกระท่อมผสมวัตถุอื่น ที่เรียกว่า 4 คูณ 100 โดยเฉพาะภายหลังการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินควบคุมสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และต่อมามีการประกาศห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น พบว่า กลุ่มผู้ใช้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มเสพน้ำต้มพืชกระท่อมอยู่ก่อนแล้ว กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่นำมาเสพแทนสุราในช่วงนี้ และกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มที่เข้าใจว่าสามารถนำมาเสพได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
นายนิยม กล่าวอีกว่า ความเข้าใจผิดว่าสามารถเสพพืชกระท่อม หรือน้ำต้มกระท่อมได้ อาจมาจากเหตุที่ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาปรับพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ซึ่งขอเรียนว่า กระบวนการดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้น และแม้จะปรับพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดแล้วก็ตาม การใช้ประโยชน์พืชกระท่อมก็จะมีมาตรการดูแลไม่ให้นำไปใช้ในทางที่ผิดตามข้อสังเกตของหน่วยงานต่างๆ ที่เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในเรื่องการดูแลไม่ให้เด็กและเยาวชนนำไปใช้ในทางที่ผิด การนำไปแปรรูป ปรุงแต่ง ผสมใช้เป็นยา อาหารเสริม เวชสำอางหรืออื่นๆ และการใช้ในกลุ่มผู้ควบคุมเครื่องจักรหรือพาหนะ ซึ่งขณะนี้สำนักงาน ป.ป.ส. กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังร่วมกันเร่งศึกษาและพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อใช้ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าการปรับนโยบายของทางราชการจะไม่ส่งผลเชิงลบตามมา
“นโยบายการปรับพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดเป็นแนวคิดริเริ่มของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เห็นถึงประโยชน์จากสรรพคุณของพืชกระท่อมที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ และนำไปพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจได้ ประกอบกับการผ่อนปรนให้ผู้ใช้พืชกระท่อมในชีวิตประจำวันตามวิถีชาวบ้านสามารถทำได้ แต่ไม่ได้หมายถึงการให้ใช้อย่างเสรี หรือใช้ในทางที่ผิดเช่น การเสพน้ำต้มพืชกระท่อมผสมที่เรียกว่า 4 คูณ 100 ทั้งนี้ การปรับกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะแม้พืชกระท่อมจะมีประโยชน์ แต่ก็มีโทษ ถ้านำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ การปรับแก้กฎหมายปรับพืชกระท่อมดังกล่าว จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการใช้หรือเสพพืชกระท่อมอย่างเสรี แต่ต้องมีการกำหนดกฎและเกณฑ์ในการกำกับดูแล”
นายนิยม กล่าวต่อว่า แม้จะอยู่ในระหว่างกระบวนการปรับพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษดังกล่าว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยอยู่ระหว่างการนำร่างกฎหมายส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณา จากนั้นจะเสนอเข้ารัฐสภาเพื่อผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้การพิจารณาเห็นชอบ จึงอยากฝากถึงประชาชนว่าพืชกระท่อมยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 การผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง และเสพยังผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการนำพืชกระท่อมไปต้มเป็นน้ำกระท่อม แบบ 4 คูณ 100 ผสมกับวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท หรืออื่นๆ ถือว่ามีความผิดตามสิ่งที่นำมาปรุงหรือผสมอยู่ เช่น เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 หรือ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ดังนั้น จึงขอฝากพี่น้องประชาชน ร่วมเฝ้าระวังหากมีบุตรหลานที่มีพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกชนิด ให้นำเข้ารับการบำบัดได้ที่ รพ. ของรัฐทุกแห่ง และหากพบเหตุบุคคลที่มีพฤติการณ์เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สามารถแจ้งเบาะแสยาเสพติดได้ที่ สายด่วน ป.ป.ส. 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง