ศาลยกฟ้อง “อนุทิน” ไม่หมิ่นประมาท “มาดามเดียร์” หลังโพสต์คำแถลง “ช่อ” ปมถือหุ้นสื่อในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมระบุข้อความ “เชียร์ช่อ” ชี้ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (19 มี.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งคดีที่ อ. 3127/2562 ว่าจะรับฟ้องหรือไม่ กรณีที่ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี หรือมาดามเดียร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท และหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีนำข้อความที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือช่อ โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (ในขณะนั้น) ที่แถลงข่าวกล่าวหา น.ส.วทันยา มีหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชน มาโพสต์เผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมระบุข้อความ “เชียร์ช่อ”
โดยคำฟ้องระบุว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2562 น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือช่อ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่และยังเป็นโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ได้จัดแถลงข่าวที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ต่อสื่อมวลชน ซึ่งมีตอนหนึ่งระบุว่า “ประเด็นร้อนแรงจนทำให้เกิดการถกเถียงในสังคม คือ การเป็นเจ้าของสื่อของนักการเมือง ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 ห้ามไม่ให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งถือครองหุ้นสื่อโดยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญก็คือไม่ต้องการให้นักการเมืองครอบครองสื่อเพื่อใช้สื่อนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนเองและเป็นโทษแก่ผู้ที่เป็นศัตรูผู้ที่ถือหุ้นดังกล่าว แต่ในประเทศไทยมีกรณีที่นักการเมืองมีความเกี่ยวพันเป็นเจ้าของสื่อที่ชัดเจนปรากฏและทราบกันดี แต่ไม่สามารถดำเนินการตามกฎหมายกับนักการเมืองผู้นั้นได้ เนื่องจากนักการเมืองคนนั้นคือคุณวทันยา เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคพลังประชารัฐ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารของเครือเนชั่นและให้ผู้ที่เป็นสามีคือ คุณฉาย บุนนาค ดำรงตำแหน่งผู้บริหารของเนชั่นแทน กรณีนี้ประจักษ์ชัดเจนว่าสามีของ ส.ส.ท่านหนึ่งถือหุ้นสื่อเป็นเจ้าของสื่อ กรณีนี้กฎหมายกลับไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากผู้ที่ถือไม่ใช่ตัวนักการเมืองผู้นั้น ไม่เพียงเท่านั้นเนชั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าได้กระทำการอันเป็นคุณต่อพรรคการเมืองบางพรรคและเป็นโทษแก่พรรคการเมืองบางพรรคอย่างเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนี้จะได้รับการตอบสนองได้อย่างไร ถ้าคู่สมรสของผู้ที่เป็น ส.ส. อยู่ในสภาสามารถถือหุ้นสื่อได้ สามารถใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองชัดแจ้ง...”
การแถลงข่าวของ น.ส.พรรณิการ์ ดังกล่าวข้างต้นเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่ 3 ด้วย เรื่องที่เป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้อง น.ส.พรรณิการ์ฯ ต่อศาลอาญา เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.3095/2562 ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ต่อมาวันเดียวกันในเวลากลางคืน ประมาณ 20.19 น. จำเลยเป็นเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อว่า “Anutin Charnvirakul” ได้นำข้อความและภาพจากสื่อมวลชนที่นำเสนอการแถลงข่าวของ น.ส.พรรณิการ์ และภาพของ น.ส.พรรณิการ์ ในลักษณะถือเอกสารระหว่างการแถลงข่าวมาลงไว้ในเฟซบุ๊กของจำเลย อันเป็นการกระทำหวังผลให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง นอกจากนี้ จำเลยยังได้แสดงความเห็นไว้ในเฟซบุ๊กของจำเลยดังกล่าวด้วย เช่น “เชียร์ช่อครับ” (ซึ่งช่อในที่นี้เป็นที่เข้าใจรับรู้และรับทราบโดยทั่วไปว่า หมายถึง น.ส.พรรณิการ์ วานิช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นผู้แถลงข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ การเชียร์ช่อจึงมีความหมายถึง การเห็นด้วยและให้กำลังใจต่อการกระทำของ น.ส.พรรณิการ์ ที่แถลงข่าวหมิ่นประมาทโจทก์) หลังจากโพสต์ดังกล่าวไปแล้วได้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ต่อโจทก์และตอบโต้ข้อความกันทำให้โจทก์ได้รับความเสื่อมเสีย
นอกจากนี้ โจทก์เห็นว่าทางจำเลยเป็นคนเป็นผู้การศึกษามีตำแหน่งเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หากจะตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องย่อมกระทำได้โดยง่าย ประกอบกับพรรคภูมิใจไทยที่จำเลยเป็นหัวหน้าพรรค และพรรคพลังประชารัฐที่โจทก์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่ออยู่นั้นต่างเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จำเลยสามารถสอบถามข้อมูลจากคนสนิทของโจทก์ได้ ก่อนที่จะนำข้อความมาลงเฟซบุ๊กที่มีประชาชนเข้าติดตามอ่านและแสดงความคิดเห็นจำนวนหลายร้อยคนจึงถือได้ว่าประชาชนที่เข้าติดตามและแสดงความคิดเห็นเป็นบุคคลที่ 3 ที่ได้รับรู้รับทราบถึงข้อความที่จำเลยได้นำลงในเฟซบุ๊ก จึงเข้าข่ายการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้นำข้อความจากเฟซบุ๊กของ น.ส.พรรณิการ์มาลงในระบบ แต่มิได้มีการตัดต่อเปลี่ยนแปลง แม้จำเลยจะมีการแสดงความคิดเห็นตอบกลับ แต่ไม่ถือเป็นการยืนยันว่าข้อความของ น.ส.พรรณิการ์เป็นข้อเท็จจริง จึงเห็นว่าไม่เป็นการกระทำผิดตามคำฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนี้
อย่างไรก็ตาม ทนายความของ น.ส.วทันยาจะกลับไปหารือว่ายื่นอุทธรณ์ต่อไปหรือไม่ กับ น.ส.วทันยา ซึ่งต้องทำเรื่องยื่นอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน