เพลิงไหม้บ้านเดี่ยวปลูกสร้างด้วยไม้ สูง 2 ชั้น ภายในซอยมนตรี ชาวบ้านพากันขนข้าวของหนีตายกันอลหม่าน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตำรวจจับผู้ต้องสงสัยวางเพลิงไว้ได้
เมื่อเวลา 01.20 น. วันที่ 28 พ.ย. พันตำรวจตรี วสันต์ กันเกตุ สารวัตร (สอบสวน) ตำรวจนครบาลเตาปูน รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเลขที่ 139 ภายในซอยมนตรี ถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญสาย 1 แขวงและเขตบางซื่อ กรุงเทพฯ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมกำลังตำรวจนครบาลเตาปูน เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู และประสานรถน้ำสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร
โดยจุดเกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยวปลูกสร้างด้วยไม้ สูง 2 ชั้น ใกล้กันเป็นเพลิงพัก ปลูกสร้างด้วยไม้เช่นกัน บนเนื้อที่กว่า 100 ตาราวา พบแสงเพลิงกำลังโหมลุกไหม้อย่างรุนแรง ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ตัวบ้านบางส่วนทรุดตัว ตลอดจนรถยนต์อีซูซุ ดีแมคซ์ สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ที่จอดไว้ถูกเปลวเพลิงลุกไหม้ทั้งคัน ชาวบ้านละแวกนี้จึงพากันขนข้าวของหนีตายกันอลหม่าน ทางเจ้าหน้าที่จึงกั้นพื้นที่ จากนั้นระดมฉีดน้ำ ใช้เวลากว่า 20 นาที เพลิงจึงสงบ เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จึงรวบรวมเป็นหลักฐาน
ทั้งนี้ ทางตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเป็นชายที่อยู่ในสภาพเมาสุรา ที่เชื่อว่าเป็นผู้ก่อเหตุวางเพลิงไว้ได้ในที่เกิดเหตุ ก่อนคุมตัวสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน
จากการสอบถาม นายวิศาล สินธพ เจ้าของบ้าน เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนและครอบครัวนอนอยู่บนบ้าน และได้ยินเสียงระเบิดขึ้น ต่อมาน้องชายได้ตะโกนเรียกตน จึงรีบลงมาจากบ้าน และพบบุคคลต้องสงสัยพยายามจะผูกคอตายใต้ต้นมะม่วงใกล้บ้าน แต่เมื่อหันไปทางบ้านพบแสงเพลิงมาจากด้านหลังของตัวบ้าน จึงเข้าไปตรวจสอบพบเปลวไฟโหมอย่างรุนแรง เนื่องจากจุดดังกล่าวทำด้วยแผ่นฝาเชอร่า แล้วตนพยายามจะขึ้นไปเก็บทรัพย์สินบนชั้น 2 ของบ้าน พบว่าไฟได้ลุกลามไปทั้งหมด จนทำอะไรไม่ได้จึงพากันหนีตายออกมา
“พฤติการณ์ของผู้ต้องสงสัยรายนี้ เป็นคนรับจ้างทำเฟอร์นิเจอร์ชอบเมาสุรา จะพักอาศัยอยู่เพลิงพักดังกล่าวไว้สำหรับประกอบอาชีพเพียงคนเดียว และชอบจุดไฟเล่นเป็นประจำ โดยก่อนหน้านี้ เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้มาแล้ว 1 ครั้ง บุคคลรายนี้ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ตนมักจะเตือนห้ามว่าอย่าจุดไฟเล่น เจ้าตัวมักจะอ้างจุดเพื่อไล่ยุง บางทีบอกว่าอุ่นกับข้าว กระทั่งเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น” นายวิศาล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ตลอดจนต้องประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง หากพบว่ามีผู้กระทำความผิดจะต้องนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป