"คิว" โต้ "อัจฉริยะ" คลิปขณะยืนเมาอยู่กับ "พริตตี้เดียร์" ถือซองยาอม ไม่ใช่ถุงยางตามที่ถูกกล่าวหา ส่วนคลิปมีเพศสัมพันธ์ถ่ายกับภรรยาเผยแพร่ในแคมฟรอกนานกว่า 7 ปีแล้ว ลั่นมีหลักฐานเพียบรอพิสูจน์ในศาล หากชนะคดีฟ้องกลับแน่ทั้งทางแพ่ง-อาญา
วันที่ 4 ต.ค.62 เมื่อเวลา 18.00 น. ความคืบหน้าคดีก๊วนปาร์ตี้บ้านบางบัวทอง กลายเป็นประเด็นในโลกโซเซียลอีกหลังจากที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม หอบหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอจำนวน 213 คลิป เข้ายื่นกับ พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รอง ผบช.ภ.1 เพื่อให้เป็นหลักฐานประกอบสำนวนคดีของก๊วนปาร์ตี้บ้านบางบัวทอง ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เมื่อวานนี้ ปรากฏว่า หนึ่งในหลักฐานเด็ดที่นายอัจฉริยะนำมามอบให้กับตำรวจ คือ คลิปหลุดที่มีหนุ่มสาวกำลังมีเพศสัมพันธ์กันอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายนายชัยพล หรือ คิว พรรณา หนึ่งในผู้ต้องหาของก๊วนปาร์ตี้บ้านบางบัวทอง ที่ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันอนาจารและซ่องโจร
โดยนายชัยพล หรือ คิว กล่าวเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า หลังเห็นคลิปเมื่อวานถูกเผยแพร่ในโลกโซเซียลและมีคนส่งมาให้ตนดู ก็ค่อนข้างตกใจพอสมควร และยืนยันว่าคนในคลิปดังกล่าวคือตนเองและผู้หญิงในคลิปก็คือเฟิร์สภรรยาตนเองคนปัจจุบันที่มีลูกด้วยกัน ไม่ใช่ 5 พริตตี้หรือพีอาร์อะไรอย่างที่ถูกกล่าวหา ตนยอมรับว่าคลิปดังกล่าว ตนกับภรรยาถ่ายกันเล่นไว้สมัยยังเป็นวัยรุ่นยุคที่เล่นโปรแกรมแคมฟรอกกันซึ่งนานกว่า 7 ปีแล้ว ไม่รู้ว่าถูกบันทึกภาพไว้จนกระทั่งเพิ่งมาเล่นข่าวคืนที่ผ่านมา ยอมรับว่าคนขุด ขุดค้นเก่งมาก ขนาดตนยังไม่รู้ว่ามีเลย
นายชัยพล กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ถ่ายบันทึกขณะที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับภรรยาไว้ เพราะตอนนั้นตนเองเมามาก ประกอบกับถูกท้าทายจากกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในโปรมแกรมนั้น ก็เลยทำไปด้วยความคึกคะนอง ไม่ได้คิดอะไรเพราะผู้หญิงคนนั้นก็คือภรรยาตนเอง จนกระทั่งเพิ่งมารู้เมื่อคืนนี้ว่าคลิปที่นายอัจฉริยะเอาไปให้ตำรวจเป็นคลิปของตนกับภรรยาที่เหตุการณ์ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว
ทางด้านนายนที หรือ ตี๋ สถิตพงษ์สถาพร กล่าวว่า ตนเองก็ถูกจับผิดเรื่องคลิปวิดีโอในช่วงที่กำลังยืนเมาอยู่กับพริตตี้เดียร์ในงานด้วยว่า มีจังหวะหนึ่งในมือตนเองถือซองบางอย่างลักษณะคล้ายซองถุงยางไว้ในมือนั้น ตนบอกเลยว่าอย่ามะโน เพราะซองที่ถือก็คือซองยาอมแก้เจ็บคอเท่านั้น เนื่องจากตนเองเสียงแหบและดื่มเหล้าเพียว ก็อาศัยยาอมช่วยทำให้ชุ่มคอเท่านั้น จริง ๆ ก็ไม่อยากตอบโต้หรือชี้แจงอะไรแล้ว เพราะทางทนายความส่วนตัวสั่งห้าม ให้เตรียมหลักฐานไปสู้คดีในชั้นศาลแทนดีกว่า ซึ่งตนยังมีหลักฐานในมืออีกเพียบที่จะพิสูจน์ได้ว่า พวกตนไม่ได้ทำผิดอะไรตามที่ถูกกล่าวหา และหากวันหนึ่งเมื่อคดีไปสิ้นสุดและพวกตนชนะคดีขึ้นมา การฟ้องร้องกลับทั้งทางแพ่งและอาญาจะเป็นเรื่องที่พวกตนต้องทำเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืน