“ชัยวัฒน์”ปัดเอี่ยว“บิลลี่”ตาย ทิ้งศพใกล้ตัวใครจะทำ ชี้จุดพบกระดูกเป็นที่ลอยอังคารชาวกะเหรี่ยง

อดีตหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจาน ยันไม่เกี่ยวข้องการตายของ “บิลลี่” ทิ้งศพในที่ใกล้ตัวแบบนั้นใครจะกล้าทำ น้อยใจแทนลูกน้องไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมารับผล ตั้งข้อสังเกตจุดพบกระดูก มีชาวกะเหรี่ยงมาลอยอังคารเป็นประจำอยู่แล้ว และการพิสูจน์จากไมโตคอนเดรียไม่น่าจะพอ

จากกรณีที่วานนี้(3 ก.ย.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงข่าวความคืบหน้าคดีการหายตัวไปของนายพอละจี หรือ บิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำประชาชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก – บางกลอย จ.เพชรบุรี เมื่อปี 2557 โดยพบหลักฐานชิ้นส่วนโครงกระดูกถูกเผาภายในถัง 200 ลิตรถูกทิ้งน้ำใต้สะพานแขวนในเขื่อนแก่งกระจาน และผลการตรวจสอบสารพันธุกรรมจากไมโตคอนเดรียพบว่ามีความเชื่อมโยงกับมารดาของนายพอละจี จึงเชื่อว่านายพอละจีเสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรมโดยการทรมานแล้วนำร่างมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี

ล่าสุด วันนี้(4 ก.ย.) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์(สบอ.) 9 อุบลราชธานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดเจ้าหน้าที่ที่เข้าจับกุมนายบิลลี่ เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 ก่อนที่จะหายตัวไปในวันเดียวกัน ให้สัมภาษณ์ว่า ขอให้ทุกคนคิดเอาเองแบบพื้นๆ เลยว่า หากตนได้กระทำผิดร้ายแรงแบบนั้นจริงๆ การเอาศพไปทิ้งไว้ในพื้นที่แบบนั้นซึ่งเป็นที่ที่อยู่ใกล้ตัวแล้วใครจะกล้าทำ ต่อให้ยิ่งใหญ่จากไหนก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ รู้สึกน้อยใจ โดยเฉพาะน้อยใจแทนลูกน้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ต้องมาพลอยรับผลกับสิ่งที่ไม่รู้เรื่องด้วย

นายชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า ลำพังตนเองไม่เท่าไร เพราะมีคนจ้องเรื่องนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาตนก็พิสูจน์มาแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เรื่องหนึ่งที่ขอตั้งข้อสังเกตก็คือ บริเวณสะพานที่ทางดีเอสไออ้างว่าเจอกระดูกนั้นเป็นบริเวณที่ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยเอากระดูกของคนตายมาลอยอังคารกันอยู่แล้ว การตรวจไมโตคอนเดรียนั้นใช้วงเลือดมาพิสูจน์อย่างเดียวว่า กระดูกชิ้นนั้นเป็นของบิลลี่ ซึ่งไม่น่าจะพอ และสรุปออกมาแบบนี้ หลังจากนี้ก็คงต้องเตรียมตัวต่อสู้ทางกฎหมายต่อไป คงทำอะไร และพูดอะไรได้ไม่มากกว่านี้แล้ว วันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน ยังทำงานตามปกติ มาช่วยชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยอยู่ที่ จ.อุบลราชธานี