xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกาพิพากษาแก้คุก 9 เดือน รอลงอาญา “คุณหญิงจารุวรรณ” อดีตผู้ว่าการ สตง.จัดสัมมนาสอดไส้ทอดกฐิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษ “หญิงเป็ด-จารุวรรณ” อดีตผู้ว่าการ สตง.เหลือจำคุก 9 เดือน กรณีเบิกจ่ายงบจัดสัมมนาที่ จ.น่าน แต่ไม่ได้สัมมนาจริง เป็นการไปร่วมงานทอดกฐินแทน ศาลชี้ผิดจริง แต่เห็นว่าเพิ่งกระทำครั้งแรก อีกทั้งระหว่างปฏิบัติหน้าที่ไม่เคยมัวหมองถูกลงโทษวินัย เห็นควรให้โอกาส จึงรอการลงโทษไว้ 2 ปี แต่เพิ่มโทษปรับ 1.5 หมื่นบาท


วันนี้ (27 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีหมายเลขดำ 2054/2559 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อายุ 73 ปี อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนายคัมภีร์ สมใจ อายุ 73 ปี อดีต ผอ.สำนักบริหารงานและทรัพยากรบุคคล สตง. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีที่จัดให้มีการสัมมนา ที่ จ.น่าน วันที่ 31 ต.ค. 2546 ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่จัดสัมมนาเพื่อให้ข้าราชการที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนานั้นได้ไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ที่จัดขึ้นในวันเดียวกันแล้วให้เบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในงบเดียวกัน 294,440 บาท ทำให้ สตง.เสียหาย ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดคุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์

โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2558 ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ จากนั้นคุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 200,000 บาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี

ขณะที่คดีอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 60 เห็นว่า การจัดและอนุมัติโครงการสัมมนากระทำไปเพื่อให้ข้าราชการ สตง.ไปร่วมการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน และการทอดผ้ากฐินสามัคคี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง แต่เบิกจ่ายงบประมาณ สตง.ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของส่วนราชการ พ.ศ. 2545 โดยไม่มีการสัมมนาที่แท้จริง จึงเป็นการเบิกจ่ายโดยไม่มีสิทธิ ทำให้ สตง.เสียหาย โดยจำเลยทั้งสองร่วมรู้เห็นตั้งแต่ต้น จึงเป็นความผิด ตาม ม.157

ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองรับราชการที่ สตง.มาจนดำรงตำแหน่งระดับสูง นับว่าได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ราชการ ประกอบกับจำเลยทั้งสองมีอายุมากประมาณ 70 ปี มีเหตุควรปรานี ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จึงหนักเกินไป พิพากษาแก้โทษให้จำคุกเหลือคนละ 1 ปี แต่กรณีไม่สมควรรอลงอาญา

ขณะที่ระหว่างฎีกา คุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ อดีต ผอ.สำนักบริหารงานฯ ได้ประกันตัวคนละ 200,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ก่อนหน้านี้มีการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 62 และวันที่ 22 เม.ย. 62 เนื่องจากนายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลว แล้วเสียชีวิตในเวลาต่อมา วันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา ด้วยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

โดยวันนี้ (27 ส.ค.) คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 มาศาล ซึ่งมีครอบครัวและกลุ่มญาติ มาให้กำลังใจร่วมลุ้นผลคำพิพากษาด้วย ขณะที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ก็ร่วมติดตามฟังคำพิพากษาด้วยเช่นกัน

ส่วนนายคัมภีร์ อดีต ผอ.สำนักบริหารงานฯ จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยได้เสียชีวิตแล้ว ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

ขณะที่คดีในส่วนของคุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ตามทางนำสืบก็ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับทราบอยู่แล้วว่าการจัดสัมมนานั้นเป็นเวลาทับซ้อนกับช่วงเวลาที่จะเดินทางไปถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน และผ้ากฐินสามัคคีที่วัดในจังหวัดน่าน 3 แห่ง โดยที่การจัดสัมมนานั้นก็จัดในสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้เป็นไปตามคำนิยามของการสัมมนาระเบียบการคลัง ซึ่งไม่สามารถเบิกเงินที่เป็นค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายได้ จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าในการจัดทำโครงการดังกล่าวมีเงินคืนหลวงนับแสนบาทนั้นก็ไม่อาจลบล้างความผิดที่ได้มีการเบิกจ่ายเงินซึ่งไม่มีสิทธิ์ได้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามฟ้อง ฎีกาที่จำเลยต่อสู้คดีนั้นฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่ฎีกาจำเลยที่ 1 ขอให้รอการลงโทษนั้นศาลพิเคราะห์พิการแล้วเห็นว่า ระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น จำเลยที่ 1 ก็ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย และได้เคยประกอบคุณงามความดี ขนาดที่พฤติการณ์ความผิดนี้แม้จะเกี่ยวข้องกับจริยธรรมคุณธรรมของเจ้าพนักงานด้วยแต่เมื่อเห็นว่าการเบิกจ่ายเงินนั้น จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง จำนวนเงินในคดีนี้ก็มีจำนวนไม่มาก กับเป็นการกระทำความผิดครั้งแรกจึงสมควรให้โอกาสจำเลย ในการรอการลงโทษไว้ แต่เห็นควรให้เพิ่มการลงโทษปรับ จำเลยที่ 1 ด้วย

จึงพิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสี่คงจำคุกเป็นเวลา 9 เดือน โดยโทษปรับจำนวน 20,000 บาทนั้น เมื่อลดโทษ 1 ใน 4 แล้วคงปรับเป็นเงิน 15,000 บาท โดยโทษจำคุกนั้นให้รอการลงโทษไว้เป็นเวลา 2 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการนั่งฟังคำพิพากษาภายในห้องพิจารณาคดีเป็นเวลา รวม 2 ชั่วโมง คุณหญิงจารุวรรณมีท่าทางนิ่งสงบ ขณะที่เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จแล้ว ผู้พิพากษาก็ได้อธิบายผลคำพิพากษาให้คุณหญิงจารุวรรณทราบอีกครั้ง



กำลังโหลดความคิดเห็น