ตร.เเสมดำฝากขัง-ค้านประกัน 3 โจ๋อุกอาจปล้นเงิน 600 บาท คาปั๊มน้ำมัน ปตท.สะแกงาม ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ ส่วนโจ๋อีกราย เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เเยกดำเนินคดีศาลเยาวชน
วันนี้ (23 ส.ค.) ที่ศาลอาญาธนบุรี ร.ต.อ.ยุทธนา พลอยสุก พนักงานสอบสวน สน.แสมดำ ได้ควบคุมตัว นายธีระศักดิ์ นามปัญหา อายุ 20 ปี ภูมิลำเนา จ.กาฬสินธุ์, นายสิทธิศักดิ์ บำรุงกูล อายุ 24 ปี ภูมิลำเนาจ.ชัยภูมิ, นายชิงชัย เทศารินทร์ อายุ 20 ปี ภูมิลำเนา จ.สกลนคร ผู้ต้องหาคดีร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้ใช้บริการในปั๊มน้ำมันโดยมีอาวุธ มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค.- 3 ก.ย. 2562 เนื่องจากต้องรอสอบปากคำพยานอีก 5 ปาก และรอผลตรวจพิสูจน์ของกลาง, ผลตรวจสอบประวัติอาชญากรรม จากกองทะเบียนประวัติอาชญกร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยพนักงานสอบสวน สน.แสมดำ ได้คัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากเป็นคดีอัตราโทษสูงกระทำความผิดในที่สาธารณะโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และเป็นคดีที่รับการสนใจจากประชาชนเนื่องจากมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอขณะที่ผู้ต้องหาทั้งสี่กระทำความผิดออกเผยแพร่ทางสื่อโซเชียล
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาทั้งสามแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ต่อมาญาติของผู้ต้องหาทั้งสาม ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งศาลได้ พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบคำร้องขอฝากขังแล้ว แม้ผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง แต่ศาลเห็นควรให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนให้เสร็จสิ้นก่อน ดังนั้นในชั้นนี้จึงยังไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยชั่วคราว จึงยกคำร้อง
ภายหลังศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสาม ไปคุมขังเรือนจำพิเศษธนบุรีระหว่างการฝากขังนี้ต่อไป
สำหรับคำร้องฝากขังคดีนี้ ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2562 หลังจากเลิกงาน นายแจ๊ค ผู้เสียหายที่ 1 และนายจอห์น ผู้เสียหายที่ 3 ได้ชักชวนเพื่อนที่ทำงาน มานั่งดื่มสุรากัน บริเวณใกล้ซอยที่ทำงาน กระทั่งเวลา 21.00 น.เศษ นายปุ๊ ผู้เสียหายที่ 2 ได้ชักชวนกันไปดื่มสุราต่อ ที่ร้านคาราโอเกะ ซึ่งมีผู้เสียหาย 3 คน ไปพร้อมเพื่อนอีก 2 คน นั่งดื่มสุราภายในร้านจนร้านปิดประมาณเที่ยงคืน แต่ผู้เสียหายกับเพื่อน ยังได้นั่งกินต่อที่ริมถนนใกล้หน้าร้าน
กระทั่งเวลาประมาณ 03.20 น. จึงชวนกันกลับบ้านพัก ซึ่งได้แวะเติมน้ำมัน ที่ปั๊ม ปตท.สะแกงาม 14 เมื่อเติมเสร็จ ก็ขี่รถ จยย.มาจอดหน้าห้องน้ำในปั๊ม เพื่อนของผู้เสียหายเดินเข้าไปในห้องน้ำ ขณะที่นายจอห์น ผู้เสียหายที่ 3 ลงจากรถมานั่งขอบฟุตบาทหน้ารถที่จอดไว้ จากนั้นมีกลุ่มผู้ต้องหาขี่จักรยานยนต์ 2 คัน มี นายเอ (ซึ่งเป็นเยาวชนที่ได้แยกดำเนินคดี) เป็นคนขี่ มี “นายธีระศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 1 สวมใส่แจ๊กเก็ตสีดำ กางเกงขายาวสีเข้มสวมหมวกกันน็อกเต็มใบ นั่งซ้อนท้าย ส่วนอีกคันมี “นายสิทธิศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 2 ใส่เสื้อแจ๊กเก็ตสีเข้ม กางเกงสามส่วน สวมหมวกกันน็อกสีขาว เป็นคนขี่ มี “นายชิงชัย” ผู้ต้องหาที่ 4 นั่งซ้อนท้าย โดยรถทั้งสองคันมาจอดใกล้รถกลุ่มผู้เสียหาย
ต่อมา “นายธีระศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 1 ที่ซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ ได้ลงจากรถเดินมาหา นายแจ๊ค ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ แล้วใช้มือต่อยไปที่ใบหน้าด้านขวา 1 ครั้ง พร้อมกระชากเสื้อจนผู้เสียหายที่ 1 ตกจากรถ โดยในมือขวาของผู้ต้องหาที่ 1 ถืออาวุธมีดดาบ ยาวประมาณ 1 ช่วงแขนไว้ จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 เดินอ้อมไปหานายปุ๊ ผู้เสียหายที่ 2 ที่นั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่ง ขณะนั้น “นายสิทธิศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 2 ได้ลงจากรถแล้วเดินมาทางด้านหลังของผู้เสียหายที่ 2 พร้อมใช้มือขวาต่อยไปด้านหลังของผู้เสียหายที่ 2
จากนั้น “นายธีระศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ล้วงอาวุธปืนปลอมที่พกมา ถือไว้ในมือซ้าย ขณะที่มือขวายังถือมีดดาบ แล้วผู้ต้องหาที่ 1 ใช้เท้าซ้าย เตะไปที่นายปุ๊ ผู้เสียหายทีิ่ 2 บริเวณใบหน้า 1 ครั้ง ก่อนที่ “นายสิทธิศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 2 เข้ามาเตะผู้เสียหายที่บริเวณลำตัวด้วยอีก 1 ครั้ง จนผู้เสียหายที่ 2 ล้มลง
“นายสิทธิศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 2 จึงเข้าไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือซัมซุงของนายปุ๊ ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งตกอยู่ข้างตัวผู้เสียหาย แล้วยังล้วงกระเป๋าเงิน ที่มีเงินอยู่ 600 บาทไป ระหว่างนั้น “นายธีระศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้มือข้างซ้ายเหวี่ยงเข้าไปบริเวณใบหน้าของนายจอห์น ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 1 ครั้ง แล้วผู้ต้องหาที่ 1 หยิบขวดสุราไปด้วย
หลังจากนั้น “นายสิทธิศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 2 ขี่รถจักรยานยนต์ที่มี “นายชิงชัย” ผู้ต้องหาที่ 4 สตาร์ทรถติดเครื่องรออยู่ ส่วน “นายธีระศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 1 นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ นายเอ (เยาวชน) ผู้ต้องหาที่ 3 ติดเครื่องรออยู่
แต่ระหว่างนั้น “นายธีระศักดิ์” ผู้ต้องหาที่ 1 ยังลงจากรถจักรยานยนต์มาขู่กลุ่มเพื่อนผู้เสียหาย บริเวณทางเข้าห้องน้ำ โดยขณะเดินไปขึ้นรถจักรยานยนต์ผู้ต้องหาที่ 1 ยังได้เข้าไปกระชากสร้อยคอเชือกร่มที่มีตะกรุดและพระเครื่อง ของนายปุ๊ ผู้เสียหายที่ 2 จนสร้อยเชือกร่มหลุดติดมือผู้ต้องหาที่ 1 ด้วย แล้วผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ก็พากันขีี่รถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายหลบหนีไป
หลังเกิดเหตุผู้เสียหายทั้ง 3 คน ได้แจ้งความดำเนินคดีดับกลุ่มคนร้าย ซึ่งต่อมาปรากฏคลิปวิดีโอขณะที่ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน กระทำความผิดออกเผยแพร่ทางสื่อโซเชียล โดยผู้ต้องหา 3 คน ได้เข้าพบพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา แจ้งดำเนินคดี 3 ข้อหา ฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปในการกระทำความผิด โดยใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้พ้นจากการจับกุม, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายจิตใจ, ร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย โดยไม่มีเหตุอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคแรก วรรคสอง, 340 ตรี, มาตรา 295, มาตรา 371 ประกอบมาตรา 83 เหตุเกิดที่แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม. โดยชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสาม ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วน นายเอ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นเยาวชนนั้น พนักงานสอบสวนได้แยกดำเนินคดีในศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 71