MGR online - "โจ นูโว"พร้อมทนายร้อง ปอท.เอาผิดมือดีปลอมเฟซบุ๊กให้ "บิ๊กตู่" กลับมาจัดรายการคืนความสุขฐานพ.ร.บ.คอมพ์ จนมีปชช.เข้าด่าทอและมีบางสำนักข่าวไปเสนอข่าวต่อ
วันนี้ (7 ส.ค.) เวลา 13.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายจิรายุส วรรธนะสิน หรือ โจ สมาชิกวงนูโว พร้อมด้วย นายสุพจน์ สุธรรม ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บก.ปอท. และ ร.ต.อ.ณัฐไชยเฉลิม วงศ์ใหญ่ รอง สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่ปลอมเฟซบุ๊ก และโพสต์ข้อความว่า "ตนเป็นผู้ร้องเรียกให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จัดรายการทุกคืนวันศุกร์เหมือนสมัย คสช." ในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 นำข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์
นายจิรายุ เปิดเผยว่า เฟซบุ๊กดังกล่าวใช้ชื่อว่า นายจิรายุส วรรธนะสิน เขียนเป็นภาษาไทย และคนกดไลฟ์อยู่ ประมาณ 150 คน แต่เฟซบุ๊กส่วนตัวของตนจริงๆ จะเขียนเป็นภาษาอังกฤษ และไม่ได้เปิดสถานะเป็นสาธารณะ จะเห็นได้เฉพาะคนที่เป็นเพื่อนเท่านั้น ส่วนใหญ่ตนจะโพสต์ความเคลื่อนไหวในอินสตราแกมที่คนทั่วไปเห็นได้ รวมทั้ง เฟซบุ๊กปลอมดังกล่าวได้โพสต์หลายข้อความหลายที่สร้างความเกลียดชัง เมื่อตนเข้าไปดูในคอมเม้นต์ก็มีแต่คนมาด่าทอตน ประมาณ 2,000 กว่าข้อความ
“ยังมีสำนักข่าวหลักๆ 3-4 แห่ง ได้เชื่อและนำเอาข้อความจากเฟซบุ๊กปลอมไปเสนอข่าวต่อ ซึ่งนั้นเป็นการทำงานของสื่อฯ ไม่ประสงค์จะเอาผิดแต่อย่างใด แม้ข้อความดังกล่าวจะไม่เป็นความจริง และผมก็ไม่ได้โพสต์ใดๆ ทั้งสิ้นเลย ที่สำคัญเพื่อนในวงก็เตือนว่าเฟซบุ๊กปลอมนั้นอาจจะทำให้คนหลงเชื่อมาจ้างงานแสดง ซึ่งอาจมีการโอนเงินมัดจำไปยิ่งจะทำให้วงนูโวเสียหายเข้าไปอีก"
ด้าน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ เปิดเผยว่า เบื้องตนจากการตรวจสอบพบว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ปิดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายทางได้แคปฯ ข้อความทั้งหมดไว้แล้ว พร้อมนำมามอบให้ บก.ปอท. ไว้เป็นหลักฐานเพื่อตรวจสอบตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ ในส่วนข่าวปลอมต่างๆ ถือเป็นภัยคุกคามเกิดจากพฤติกรรมของผู้ใช้สื่อโซเชียลเปลี่ยนไป จากเดิมที่สำนักข่าวใหญ่ๆ จะมีการคัดกรองข้อมูลข่าวในระดับหนึ่ง มาเป็นการอ่านข่าวจากห้องแชตในกลุ่มเพื่อน หรือ ข่าวในสื่อโซเชียลต่างๆ แล้วเชื่อโดยไม่ทันตรวจสอบข้อมูล จากนั้นได้ส่งต่อข้อมูลซึ่งปัจจุบันทำได้โดยง่ายมาก แค่กดก๊อปปี้แล้ววาง ทำให้ข่าวปลอมแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อีกทั้ง เว็บไซด์ข่าวปลอมก็พยายามหาวิธีการ เช่น ใช้ URL ที่คล้ายกับสำนักข่าวใหญ่ๆเช่นกัน