MGR online -"ราชทัณฑ์" แจงการก่อสร้างโรงพยาบาลราชทัณฑ์แห่งที่ 2 เป็นไปตามมติครม.เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังป่วยตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล โต้พวกแพร่ข่าวใส่ร้าย เพราะได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียว
วันนี้ (7 ส.ค.) พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยกรณีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ของกรมราชทัณฑ์ ถึงความไม่เหมาะสมในการดำเนินการ ว่า การก่อสร้างโรงพยาบาลราชทัณฑ์ดังกล่าว เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.61 ที่อนุมัติงบประมาณในการก่อสร้างเพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังและเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล รวมถึง เพิ่มบริการการรักษาพยาบาลแก่ข้าราชการและครอบครัวในสังกัดเพื่อเป็นสวัสดิการ และในอนาคตประชาชนทั่วไปก็สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้อีกด้วย เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีสถานพยาบาลของรัฐรองรับการรักษาผู้ป่วยในบริเวณชุมชน
"ปัจจุบันการดำเนินการโครงการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แห่งที่ 2 ได้มีความก้าวหน้าไปในหลายขั้นตอน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังป่วยให้สามารถลดอัตราการเสียชีวิตและลดการสูญเสียงบประมาณในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการส่งผู้ต้องขังป่วยออกออกไปรับการรักษาภายนอกเรือนจำ ลดความเสี่ยงในการหลบหนีของผู้ต้องขังจากสถานพยาบาลภายนอก และเป็นการบรรเทาปัญหาความตรากตรำจากการปฏิบัติหน้าที่ผู้ควบคุมที่จะต้องออกไปควบคุมผู้ต้องขังภายนอกเรือนจำ"
พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวอีกว่า จากกรณีดังกล่าว ผู้เผยแพร่ข่าวนี้อาจได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียว และอาจไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง จึงทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากโครงการดังกล่าวได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและอยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยองค์กรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และปัจจุบันได้ผ่านขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์เรียบร้อยแล้ว (Public Hearing) ซึ่งผลตอบรับจากข้าราชการในสังกัด และประชาชนทั่วไปมีความต้องการให้มีการจัดสวัสดิการการรักษาพยาบาล โดยกรมราชทัณฑ์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การสร้างโรงพยาบาลราชทัณฑ์แห่งที่ 2 จะสามารถช่วยเหลือผู้ต้องขัง และข้าราชการกรมราชทัณฑ์ รวมถึงประชาชนทั่วไป ให้ได้รับการบริการในการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกันตามยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความยุติธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติสืบไป