MGR Online - ตำรวจเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมบริษัท ไปรษณีย์ไทย และผู้ประกอบการรับส่งพัสดุภาคเอกชนกว่า 14 แห่ง ป้องกันการส่งยาเสพติดทางไปรษณีย์ กำชับส่งสิงของทางไปรษณีย์ ต้องบันทึกบัตรประจำตัวประชาชนให้ชัด ใครปล่อยปละละเลยอาจถูกสั่งพักใบอนุญาต และอาจเจอข้อหาสนับสนุนส่งยานรก
วันนี้ (22 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมพรหมนอก ชั้น 2 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. เป็นประธานร่วมกับ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส. พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รอง ผบช.ปส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชุมหารือแนวทางการป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์ไทยพัสดุภัณฑ์ และระบบขนส่ง (Logistics) โดยมีตัวแทนหน่วยงานต่างๆ อาทิ กอ.รมน. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และผู้ประกอบการภาคเอกชนกว่า 14 แห่ง พร้อมขอความร่วมมือเพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์ รวมถึงชี้แจงมาตรการลงโทษทางกฎหมายเพื่อบังคับใช้เอาผิดต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติกล่าวว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐได้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันและสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด พร้อมกับมีมาตรการดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จนเป็นผลทำให้มีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดทั้งรายย่อยและรายใหญ่ ได้พร้อมของกลางยาเสพติดเป็นจำนวนมาก จนทำให้ปัจจุบันมีกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดระดับรายย่อยในพื้นที่ได้หันมาใช้วิธีการลักลอบส่งยาเสพติดผ่านทางช่องทางพัสดุภัณฑ์ ผ่านระบบขนส่งทางไปรษณีย์ไทย และบริษัทเอกชนซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติกล่าวอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดภาครัฐ ประกอบด้วย สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, กอ.รมน. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐและสังคม, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และผู้ประกอบการภาคเอกชน เข้าร่วมประชุมหารือและขอความร่วมมือ เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์ รวมถึงชี้แจงมาตรการลงโทษทางกฎหมายเพื่อบังคับใช้เอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. กำชับและให้ผู้ประกอบการเพิ่มความเข้มงวด การปฏิบัติตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2558) โดยในการรับ-ส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์ จะต้องบันทึกข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ส่งและผู้รับ และการปรับปรุงแก้ไขแอปพลิเคชันต้องมีเงื่อนไขในการให้ข้อมูลที่เพียงพอ และให้ทำศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อง่ายในการร้องขอต่อการตรวจสอบ
2. สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อประสานงานกับผู้ประกอบการโดยให้ทุก สน. / สภ. สำรวจสถานประกอบการที่รับ-ส่งไปรษณียภัณฑ์ในทุกเขตพื้นที่ เพื่อคอยให้คำแนะนำ ฝึกอบรม ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายพร้อมทั้งรับแจ้งเหตุ หากพบหรือสงสัยว่าเป็นสิ่งของผิดกฎหมายให้แจ้งได้ที่หมายเลข 1599, ศูนย์ 191 ทุกจังหวัด และ 1386 สำนักงาน ป.ป.ส.
3. หากตรวจสอบพบว่า ผู้ประกอบการรายใดที่ไม่มีมาตรการที่รัดกุม เพิกเฉยหรือปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบขนส่งยาเสพติด สถานประกอบการนั้นอาจถูกสั่งปิดชั่วคราวหรือสั่งพักใช้ใบอนุญาต รวมถึงต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงห้าหมื่นบาท
4. การที่ผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ให้ปฏิบัติไว้ และมีการส่งยาเสพติดผ่านทางผู้ประกอบการรายเดิมๆ ซ้ำๆ และในทางการสืบสวนขยายผลพบว่าเหตุดังกล่าวเป็นการส่อพฤติกรรมในการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนฯ จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจรวมถึงการยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้ เพื่อตรวจสอบตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ ส่วนการแก้ไขระยะยาวนั้นจะเป็นการเสนอแก้กฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้มีความทันสมัยที่ยังไม่ครอบคลุม
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติกล่าวอีกว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการกำหนดแนวทางเพื่อวางกฎระเบียบ พร้อมทั้งกำชับผู้ประกอบการให้เพิ่มความเข้มงวด ในการรับ-ส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ซึ่งจะต้องบันทึกข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ส่งและผู้รับ ถึงแม้บริษัทผู้ประกอบการต่างๆ จะมีมาตรการในการตรวจสอบบัตรประชาชน หรือสแกนพัสดุแล้ว แต่ยังมีผู้ประกอบการบางรายกลับอ้างว่า หากเปิดพัสดุของลูกค้าเพื่อตรวจสอบจนทำให้สิ่งของเสียหายก็จะถูกผู้ใช้บริการฟ้องร้องจึงไม่กล้าเปิด ในส่วนนี้จึงทำให้ยังคงมีผู้ลักลอบใช้เป็นช่องทางขนส่งยาเสพติด
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เป็นตัวกลางรับส่งพัสดุจะอ้างไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ ทั้งที่มีเครื่องมือและวิธีการตรวจสอบอยู่แล้ว อีกทั้งผู้ส่งพัสดุต้องยืนยันให้ชัดเจนว่าสิ่งของที่ส่งไปไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย โดยในวันนี้จะประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันและการดำเนินการทางกฎหมายอย่างจริงจังต่อไป
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติกล่าวยืนยันว่า จะใช้ทุกมาตรการ ทุกข้อกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำความผิดโดยใช้บริษัทขนส่งพัสดุเป็นตัวกลางในการกระทำความผิด หากผู้ประกอบการายใดที่ไม่มีมาตรการที่รัดกุม เพิกเฉย หรือปล่อยปละละเลยให้มีการสักลอบขนส่งขนยาเสพติดก็จะมีมาตรการในการเอาผิดต่อไป