xs
xsm
sm
md
lg

ศาลคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก “พระครูกิตติฯ” 26 ปี ฐานร่วมมืออดีต ผอ.พศ.ฟอกเงินทอนวัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พระครูกิตติพัชรคุณ (แฟ้มภาพ)
MGR Online - ประเดิมคดีเงินทอนวัดสำนวนแรก ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 13 กระทง 39 ปี “พระครูกิตติพัชรคุณ” เจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ฐานร่วมมืออดีต ผอ.พศ.ฟอกเงินทอนวัด แต่คำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษเหลือจำคุก 26 ปี เผยจำเลยยังถูกฟ้องคดีอนาจารเด็กหญิง 3 คน รอฟังคำพิพากษา 27 มิ.ย.นี้ ด้วย

เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (18 เม.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 8 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีฟอกเงินทอนวัด สำนวนแรกคดีดำหมายเลขที่ อท.38/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริต 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระครูกิตติพัชรคุณ เจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าอาวาสวัดลาดแค หรือนายสมเกียรติ ขันทอง อายุ 55 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานฟอกเงินโดยสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินนั้น ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5 (1) (2) (3), 9, 60

กรณีที่พระครูกิตติร่วมกับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อายุ 60 ปี อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. ที่ยังหลบหนีตั้งแต่ชั้นสอบสวนของ ปปป.(อัยการมีความเห็นสั่งให้ฟ้องไว้แล้ว พร้อมให้ออกหมายจับติดตามตัวมาดำเนินคดีภายในอายุความ 20 ปี ซึ่งคดีจะขาดอายุความในวันที่ 21 ม.ค. 2579) วางแผนยักย้าย-ถ่ายโอนเงินทอนวัดราว 24 ล้านบาทเศษ ที่ได้เบียดบังจากการทุจริตจัดสรรงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ที่เป็นเงินอุดหนุนให้ 12 วัด 13 รายการ จำนวน 28 ล้านบาท ในการบูรณะซ่อมแซมวัด หรือเพื่อโครงการศึกษาพระปริยัติธรรม หรือโครงการเผยแผ่กิจกรรมทางศาสนา

โดยพวกจำเลยร่วมกันเบียดบังเงินส่วนที่ให้แก่วัดในเขต จ.เพชรบูรณ์, จ.ตาก, จ.นครสวรรค์ และ จ.ชุมพรไป ด้วยการแบ่งส่วนเงินงบประมาณเพียงเล็กน้อยประมาณ 50,000 บาท ถึงหลักแสนบาท จูงใจให้วัดยินยอมนำเงินงบประมาณฯ ที่จะถูกจัดสรรมานั้นเข้าบัญชีวัด แล้วให้โอนคืนเงินนั้นกลับให้พวกตนโดยใช้บัญชีธนาคารของวัดเป็นเครื่องมือปกปิดอำพรางการกระทำความผิดของพวกตน ให้ดูเสมือนว่าเงินที่โอนและถอนออกจากบัญชีวัดเป็นเงินที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่เงินซึ่งถูกทอนมานั้นจะนำเข้าบัญชีหรือส่งมอบเป็นเงินสดให้แก่พระครูกิตติเพื่อรวบรวมมอบให้นายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. อันเป็นการกระทำผิดฐานฟอกเงิน

โดยอัยการได้ฟ้องเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2561 ขณะที่จำเลยให้การปฏิเสธ พร้อมต่อสู้คดี โดยระหว่างการพิจารณาได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์มูลค่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล โดยให้เก็บรักษาหนังสือเดินทางของจำเลยไว้และให้คืนเมื่อสิ้นสุดสัญญาประกันแล้วด้วย

เมื่อถึงเวลานัด วันนี้พระครูกิตติยังอยู่ในสมณเพศ สวมจีวร ได้เดินทางมาพร้อมกับลูกศิษย์ประมาณ 5-6 คน โดยเดินทางมาถึงศาลตั้งแต่ก่อน 08.00 น.

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าพยานโจทก์มีทั้งเจ้าหน้าที่ ปปง., นิติกรของ พศ.จ.เพชรบูรณ์, พระในวัดต่างๆ ที่นำบัญชีของวัดให้จำเลยรับโอนเงิน ซึ่งรับรู้การโอนและถอนเงิน รวมทั้งลูกศิษย์คนสนิทของพระครูกิตติ เบิกความสอดคล้องกัน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับนายนพรัตน์ ที่ได้จัดสรรงบ พศ.มาให้กับ 12 วัดใน จ.เพชรบูรณ์, นครสวรรค์, ตาก และชุมพร โดยที่แต่ละวัดไม่ได้ทำคำของบแต่อย่างใด แต่นายนพรัตน์ให้นำบัญชีของวัดมาเพื่อจะโอนเงินให้แต่ละวัดนับล้านบาท โดยเมื่อโอนเงินแล้วให้แต่ละวัดโอนเงินกลับส่งคืนให้จำเลยเพื่อส่งต่อให้นายนพรัตน์ อ้างว่าจะนำไปให้วัดจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่ไม่มีการนำไปดำเนินการดังกล่าวจริง และได้นำมาแบ่งปันกัน และบางส่วนจำเลยนำมาให้จ่ายส่วนตัว เช่นที่อ้างว่าได้พาพระและสามเณรไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย การกระทำนั้นเป็นการจัดสรรงบโดยมิชอบและหลักเกณฑ์ที่ พศ.ยึดถือปฏิบัติ งบที่อ้างว่าที่จะใช้บูรณปฏิสังขรณ์วัดจะต้องมีคำขอจากวัด ไม่ใช่ พศ.ดำเนินการจัดสรร การที่จำเลยอ้างว่าเข้าใจว่าการที่มีเจ้าหน้าที่ พศ.มาแจ้งและรับเงินคืน แต่งชุดราชการและนั่งรถตู้ตราสัญลักษณ์ จึงเชื่อว่าเป็นการจัดสรรงบโดยชอบนั้น เป็นการกล่าวอ้างง่ายเกินไป เพราะจำเลยได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชั้นปกครอง ย่อมทราบถึงระเบียบหลักเกณฑ์ที่ได้ปฏิบัติมา จะอ้างวิธีการคนหมู่มากนำมาปฏิบัติใช้นั้นก็ย่อมจะไม่ชอบ ซึ่งขณะกระทำผิดจำเลยเป็นเจ้าคณะอำเภอถือเป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ ก็จะต้องรับโทษ 2 เท่า

จึงพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ลงโทษ 13 กระทง กระทงละ 3 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลยมีประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุก 26 ปี ส่วนคำขออื่นให้ยก

ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวพระครูกิตติไปยังห้องคุมขังชั้นใต้ถุนศาล ระหว่างรอฟังผลการขอประกันตัวสู้คดีชั้นอุทธรณ์

ทนายความของพระครูกิตติได้เปิดเผยเพียงว่าขณะนี้กำลังเตรียมคำร้องและหลักทรัพย์เพื่อจะยื่นขอประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์

เมื่อเวลา 13.20 น.ทนายความพระครูกิตติพัชรคุณ หรือนายสมเกียรติ ขันทอง อายุ 53 ปี เจ้าอาวาสวัดลาดแค และเจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพระครูกิตติพัชรคุณพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินและยื่นคำร้องประสงค์จะติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมติดตามการปล่อยขั่วคราวหรือกำไลข้อเท้า หรือ EM ระหว่างการประกันตัวด้วย ล่าสุดศาลอาญาคดีทุจริตฯพิจารณาแล้ว มีคำสั่งเห็นควรส่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา โดยวันนี้ศาลยังไม่มีคำสั่งเรื่องการประกันตัว

"ทั้งนี้ต้องรอดูว่าศาลอุทธรณ์จะพิจารณาและมีคำสั่งประกันทันภายในเวลาทำการศาลเย็นนี้ 16.30 น. หรือไม่ หากภายในเย็นวันนี้ศาลอุทธรณ์ยังไม่มีคำสั่งเรื่องการประกันตัวมา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ก็ต้องควบคุมตัว "พระครูกิตติฯ" โดยให้ทำการสึกจากการเป็นพระ ให้เปลี่ยนการห่มจีวรสีเหลือง เป็นชุดเสื้อ-กางเกงสีขาว เพื่อนำตัวไปควบคุมยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไว้ก่อนจนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งเรื่องการประกันตัว"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระครูกิตตินั้นยังถูกอัยการฟ้องคดีอนาจารเด็กหญิง 3 คน อายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งถูกล่อลวงไปยังกุฏิที่พักของอดีตพระครูกิตติ เมื่อช่วงปี 2548-2549 ไว้ต่อศาลอาญาด้วย โดยพระครูกิตติได้ประกันตัวไปวงเงิน 200,000 บาท ขณะที่ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศเช่นกัน ส่วนคดีศาลอาญาสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วกำหนดนัดฟังคำพิพากษาคดีอนาจารเด็กหญิง ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการร่วมฟอกเงิน การทุจริตงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ ประมาณ 150 ล้านบาทที่เป็นเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ปี 2557 และโครงการศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนา และโครงการของสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงฯ ของวัดสระเกศฯ จำนวน 63,700,000 บาท

มีคดีที่อัยการสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริตได้ยื่นฟ้องอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในวัดเขต กทม. อย่างวัดสามพระยา และวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กับกลุ่มฆราวาสชาย-หญิง รวม 10 รายที่ร่วมรับเงิน ฐานฟอกเงินและปฏิบัติหน้าที่่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไว้แล้วต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง รวม 3 สำนวน คดีหมายเลขดำที่ อท.196/2561, อท.197/2561, อท.205/2561 โดยทั้งหมดถูกขังในเรือนจำไม่ได้รับการประกันตัวชั้นพิจารณา

ส่วนกลุ่มอดีตข้าราชการ พศ.ระดับบริหารนั้น ได้แก่ นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. กับพวกรวม 4 คน อัยการก็ได้ยื่นฟ้องคดีไว้แล้วต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท.3/2562 ซึ่งคดีอยู่ระหว่างรอไต่สวนพยานเช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น