MGROnline - คำสั่งย้ายขาดพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมานั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับแวดวงสีกากีและสังคมในวงกว้างเป็นอย่างยิ่ง
รวมทั้งอยู่ในความสนใจของสื่อทุกสำนัก แม้จะเป็นปฏิบัติการในเชิงลับแต่ปรากฎมีความผิดสังเกตหลายประการ เกิดขึ้นในช่วงค่ำวันที่5 ที่เริ่มมีการกระพือข่าวลือ “ปลดโจ๊ก” ผู้สื่อข่าวตรวจพบเพจพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 2 แสนรายปลิวหายไปกับสายลม
พร้อมๆกับขาดการติดต่อในทุกช่องทาง ทั้งระบบออนไลน์ โทรศัพท์มือถือ และออฟไลน์ ทุกช่องทางไม่สามารถติดต่อพล. ต. ท. สุรเชษฐ์ได้ อีกทั้งยังไม่มีใครพบเห็นตัวเขาด้วย จนหลังจากมีคำสั่งย้ายออกมา บิ๊กโจ๊กก็ไม่โผล่หน้ามา
“บิ๊กโจ๊ก”พล. ต. ท. สุรเชษฐ์ เป็นนายตำรวจที่เติบโตมาในรัฐบาลคสช. ทำสถิติเลื่อนตำแหน่งเร็วที่สุด จากชั้นยศพ. ต. อ. เป็นพล. ต. ท. ใช้เวลาเพียงไม่เกิน5ปี
ใน5ปีนี้บิ๊กโจ๊กยังเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุด โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในระดับรองผู้บังคับการลงมาถึงสารวัตร(ชั้นยศ พ. ต. อ. -พ. ต. ต. ) พล. ต. ท. สุรเชษฐ์กุมอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทั่วประเทศแต่เพียงคนเดียว ทุกครั้งมาหลายปี
เส้นทางชีวิต ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน เขาเป็นบุตรชายดาบตำรวจไสว หักพาล อดีตคนขับรถประจำตัวพล.ต.ท.เสมอ ดามาพงษ์ อดีตบิ๊กตำรวจบิดาของพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร
คงไม่ต้องบอกหรืออธิบายว่าพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล มีสายเลือดตำรวจอย่างเต็มตัว จบหลักสูตรนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.)รุ่น 47 เติบโตอย่างรวดเร็วช่วงรับหน้าที่อยู่กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.)ถูกร้องเรียนเรื่องส่วยคาราโอเกะรวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาทจนเกิดการฟ้องร้องกันวุ่นวาย
ระหว่าง “บิ๊กโจ๊ก”ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา และผู้บังคับบัญชาในระดับต่างๆในฐานะคู่กรณีของเขาคือพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง และพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม เป็นต้น
แต่ปัญหาส่วยโอเกะมิได้เป็นอุปสรรคในการเจริญก้าวหน้าในอาชีพราชการของเขาพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขยับไปเป็น ผกก.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อันเป็นบ้านเกิดและขยับขึ้นเรื่อยๆจนได้เป็น ผบก.จ.สงขลา ซึ่งน้อยคนที่จะทำได้แต่ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”ได้ทำให้เห็นแล้ว เขาเป็นนายพลตำรวจเมื่ออายุ 42 ปีถือว่าน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สีกากี
หากไม่สะดุดอะไร พล. ต. ท. สุรเชษฐ์คงไม่พ้นได้ติดยศ พล.ต.อ.แน่ๆเพราะเกิดวันที่ 29 ต.ค.2513 ยังเหลืออายุราชการอีก 11 ปีอีกทั้งบรรดาคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่ๆ (นรต. 45-46) ถูกกฎเหล็ก “ชักบันไดหนี”ทำอย่างไร เก่งอย่างไรไม่มีวันไล่ “บิ๊กโจ๊ก”ทัน
ปี 2557 เกิดรัฐประหารมีการเปลี่ยนขั้วในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้รับการไว้วางใจจากผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลจนได้ฉายา “ผบ.ตร.น้อย” ตำแหน่งสารพัดถูกประเคนมาที่ “บิ๊กโจ๊ก”ทั้งรองโฆษกประจำตัวพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ตำแหน่งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรี ตำแหน่งรอง ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีอำนาจมากมายครอบจักรวาล
เหนืออื่นใดคือเป็นที่รู้กันภายในว่า “บิ๊กโจ๊ก”คือผู้จัดทำโผโยกย้ายข้าราชการตำรวจตัวจริงเสียงจริง ทั้งโผนายพัน ที่บัญชีอยู่ในมือบิ๊กโจ๊กคนเดียว และมีส่วนจัดโผนายพลในบางส่วนด้วย
ถือว่าช่วงเข้าสู่โหมต “คืนความสุข”ของ คสช. หรือ 4-5 ปีที่ผ่านมานั้นพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล กลายเป็นนายตำรวจดาวรุ่งพุ่งแรงและได้โอกาสจากรัฐบาลนี้มากที่สุดจากตำแหน่งรองผู้การฯขยับเป็นรองผู้บัญชาการ กระทั่งถึงหัวเลี้ยวสำคัญของการปูทางสู่ระดับ “พลตำรวจโท”เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอยุบศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ให้รวมส่วนกับกองบัญชาการตำรวจภาค 9 แล้วผุดกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ขึ้นมาแทน
พูดง่ายๆคือ รัฐบาล และ สตช.ยอมยุบ ศชต.ซึ่งดูแลภารกิจความมั่นคงโดยตรงมาให้ความสำคัญกับภาระกิจท่องเที่ยว หรือนัยหนึ่งเป็นการปูทางให้กับ “บิ๊กโจ๊ก”เพื่อขึ้นเป็น ผบช.ท่องเที่ยว คนแรกในประวัติศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นั่นเอง
แต่เมื่อถึงวันตัดสินใจพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล กลับได้พิจารณาเป็น ผบช.ตรวจคนเข้าเมือง นั่นอาจเป็นเพราะว่าเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมในทุกๆด้านและมีความอินเตอร์ระดับโลกมากกว่า
ตำแหน่งแรก และตำแหน่งสุดท้ายของชีวิตราชการ “บิ๊กโจ๊ก”จึงเลือกมาจบที่สวนพลู
อย่างไรก็ตามแม้พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล จะถูกเพื่อนร่วมงานมองว่าเป็นเด็กนาย คนมีปลอกคอเส้นแข็งเป็นกำแพงข้างหลัง แต่เขาก็แลกด้วยการทุ่มเททำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำไม่ต้องหลับต้องนอนเฉกเช่นข้าราชการตำรวจคนอื่นๆ
จับเด็กแว๊นกวนเมือง จับนายทุนเงินกู้ ทะลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งมิจฉาชีพผิวสี ล่าก๊วนการเมืองฝ่ายตรงข้ามคสช. จนผลงานเป็นที่ประจักษ์
ทั้งหมดคือจุดแข็งของบิ๊กโจ๊กซึ่งแน่นอนว่าอันสรรพสิ่งของโลกย่อมมีสองมุมเสมอ เมื่อมีดีย่อมมีร้าย มีจุดแข็งมีจุดอ่อน
จุดอ่อนและถือว่าอันตรายกับนายตำรวจผู้นี้มากที่สุดก็คือการจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ
เหตุผลเพราะตำรวจเป็นอาชีพที่นั่งอยู่บนอำนาจ เป็นผู้ใช้อำนาจดั่งที่ถูกเปรียบเทียบเสมอว่ามือหนึ่งถือกฎหมาย มือหนึ่งถือปืนหากตำแหน่งแห่งหนที่สำคัญไปตกอยู่ในมือคนเลวสังคมย่อมเกิดความวิบัติเสียหาย
ทุกครั้งของการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจมักมีข่าวอัปมงคล เป็นข่าวร้ายมากกว่ากว่าดีเช่นมีการทุ่มเงินซื้อขายตำแหน่ง มีการฉวยโอกาสทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหาต่างๆนานา
บางครั้ง หรือบ่อยครั้งมักแอบอ้างบุคคลสำคัญเพื่อให้แผนการบรรลุเป้าหมาย และครั้งล่าสุดเกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง คือ การย้ายตำรวจภูธรรายหนึ่งเข้ามานครบาล เพราะมีการวิ่งเต้น
แต่มาแล้วลงผิดพื้นที่ ตำรวจภูธรไม่คุ้นงานในนครบาล ทำงานไม่ได้ เลยเกิดปัญหากระทบถึงบิ๊กโจ๊ก ปัญหานี้จะบานปลายไปถึงไหนก็ไม่มีใครตอบได้
หากย้อนกลับไป แผลใหญ่จากการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ที่ทิ้งร่องรอยให้สังคมไทยได้เห็นนั่นคือเหตุการณ์สะเทือนใจเพื่อนข้าราชการตำรวจสายสอบสวนเมื่อพ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญพิเศษ สน.เทียนทะเล และยังมีตำแหน่งเป็นเลขาธิการสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ ผูกคอตายในห้องพักหลังล้มเหลวจากการยื่นหนังสือกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อแยกพนักงานสอบสวน และสถาบันนิติเวช ออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
การตายของ พ.ต.ท.จันทร์ นอกจากสร้างความสะเทือนใจแก่เพื่อนตำรวจสายสอบสวนแล้วยังขวัญเสียอย่างหนักเพราะนอกจากผู้มีอำนาจไม่ตอบรับแล้วยังสั่งยุบแท่งพนักสอบสวนส่งผลให้เกิดปัญหาเป็นวงกว้างจวบจนทุกวันนี้
อีกแผลหนึ่งที่สร้างความอับอายขายหน้าในวงการสีกากีคือกรณี ร.ต.อ.ชาญชาย เย็นสุข รองสว.จร.สน.นิมิตรใหม่ พร้อมภรรยาเดินทางไปยัง สน.บางซื่อ แจ้งความให้ดำเนินคดีกับร.ต.อ.ชนินท์ธัช รัตน์ชิโนตรัย ฐานรับเงิน 7 แสนบาทเป็นค่าวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งขึ้นเป็นสารวัตรแต่ไม่สามารถทำได้
แม้คดีนี้จะจบลงโดยมีการถอนแจ้งความและพล.ต.ต.เจริญ ศรีศศลักษณ์ อดีตผบก.น.2 จะได้ไปต่อหลังเกษียณอายุราชการด้วยตำแหน่งที่ปรึกษาด้านงานจราจร แต่ยังคงเป็นใบเสร็จ ติดตราตรึงใจของผู้เรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปตำรวจ
นั่นคือแผลที่มองเห็นแต่แผลลึกหลบในกลายเป็นอาวุธกัดเซาะไปเรื่อยๆ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ในฐานะผู้กำกับดูแลทั้งหมดจึงมีทั้งคนชอบ-คนชังเช่นสุภาษิต “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ”
คนที่ได้ตำแหน่งหากเกิดจากการซื้อมาจริงๆบุญคุณก็คงหมดกันเพราะเขา “ลงทุน”ไปแล้ว เสมือนธุรกิจไม่มีบุญคุณต้องพูดถึง ทุกเรื่องพูดกันแต่ผลกำไร
ความเคลื่อนไหวข่าวคำสั่งปลดกลางอากาศพล. ต. ท. สุรเชษฐ์ ต้องรอติดตามผลการประชุมในวันที่9 เม. ย. คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก. ตร. จะมีมติย้ายพล. ต. ท. สุรเชษฐ์ไปลงที่ไหน และจะมีการสอบสวนความผิดหรือไม่
ส่วนผบช. สตม. คนใหม่ คาดว่าจะเป็น พล. ต. ท. สัญชัย สุนทรบุระ ผู้บัญชาการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นนรต. รุ่น35 เกษียณอายุราชการกันยายนปีนี้ จะมานั่งแทน