ศาลพิพากษายกฟ้อง 21 อดีตแกนนำและแนวร่วม พธม.ชุมนุมบริเวณรัฐสภา วันที่ 5-7 ตุลาฯ ปี 51 ชี้ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ มุ่งเปิดโปงทุจริต ขัดขวางน้องเขยทักษิณ แถลงนโยบาย ส่วนเหตุการณ์ความรุนแรง เกิดจากเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม จนมีผู้บาดเจ็บและไม่พอใจจึงตอบโต้เจ้าหน้าที่ โดยแกนนำไม่ได้สั่งการ
วันนี้ (4 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.45 น.ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.4924/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปีเศษ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับพวกรวม 21 คน ซึ่งเป็นอดีตแกนนำและแนวร่วม พธม. เป็นจำเลยที่ 1-21 กรณีกลุ่ม พธม. เคลื่อนการชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาล ไปปิดล้อมรอบอาคารรัฐภา ช่วงวันที่ 7 ต.ค. 2551 ไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประชุมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ในความผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือ กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่ง อย่างใดทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำมีอาวุธ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกมั่วสุม, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 309, 310
คำฟ้องโจทก์เมื่อเดือน ธ.ค. 2555 บรรยายความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 5 - 7 ต.ค. 2551 จำเลยและกลุ่ม พธม. จำนวนหลายพันคน ร่วมมั่วสุมภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตั้งเวทีปราศรัย และได้ยุยงปลุกปั่นให้กลุ่ม พธม. ทั้งประเทศไปรวมตัวปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้ ส.ส. ส.ว. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าร่วมประชุมสภา โดยวันที่ 7 ต.ค. 2551 กลางวัน จำเลยกับพวกใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงเคลื่อนพร้อมนำลวดหนามชนิดหีบเพลง และแผงกั้นเหล็กยางรถยนต์ผ่านไปลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อขวางบริเวณรอบรัฐสภาทำให้ประชาชนไม่สามารถผ่านไปได้ และปราศรัยปลุกระดมให้ล้อมรัฐสภา เป็นเหตุเหตุให้ ส.ส.และ ส.ว. บางส่วนเดินทางเข้าไปประชุมสภาไม่ได้ และจำเลยกับพวกยังร่วมกันข่มขืนใจนายสุริยา ปันจอร์ อดีต ส.ว.สตูล, นายมณฑล ไกรวัตนุสรณ์ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร พรรคเพื่อไทย, นายปัญญา ศรีปัญญา อดีต ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย และข้าราชการฝ่ายการเมืองหลายคน โดยไล่ให้กลับบ้านและขู่ให้กลัวว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และยังมีการโห่ร้อง ด่าทอ ใช้หนังสติ๊ก อาวุธปืนยิง มีดฟัน ใช้ปลายธงทำด้วยเหล็กปลายแหลมแทงเจ้าหน้าที่รับบาดเจ็บสาหัส 1 คน แถมยังมีการนำโซ่ไปล็อกกุญแจทางเข้า – ออกสภาทุกด้าน พร้อมประกาศขู่ว่าหากไม่ยุบสภาในเวลา 18.00 น. จะจับตัวประธานสภาและประธานวุฒิสภา รวมทั้งสมาชิกทั้งหมด ซึ่งสมาชิกรัฐสภาบางส่วนได้ปีนกำแพงหนีออกทางด้านพระที่นั่งวิมานเมฆ ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนถูกขังอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง
ต่อมาเวลากลางคืน จำเลยกับพวกยังได้ปราศรัย ยุยงให้กลุ่ม พธม. จำนวนหลายพันคน โดยมีอาวุธ มีด ปืน ไม้กระบอง ธง หนังสติ๊ก ฯลฯ เคลื่อนไปหน้าอาคารรัฐสภาและปิดล้อมทางเข้าออก และได้นำน้ำมันราดบนถนนหน้ารัฐสภาและขู่ว่าจะใช้กำลังประทุบร้าย ส.ส.และ ส.ว. รวมทั้งใช้รถกระบะ ทะเบียน วพ1968 กทม. ที่ขับขี่โดยนายปรีชา ตรีจรูญ ขับรถพุ่งไล่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งอัยการได้แยกฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาไปแล้ว ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ โดยโจทก์ได้ขอให้ศาลพิพากษานับโทษนายสนธิ จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีหมิ่นประมาท 4 สำนวน และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 อีก 1 สำนวนด้วย โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธในชั้นศาล และได้ประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีคนละ 200,000 บาท
วันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวนายสนธิ, นายพิภพ, นายสมเกียรติ, นายสมศักดิ์ และนายสุริยะใส จำเลยซึ่งถูกคุมขังในคดีกลุ่ม พธม. ยึดทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 8 เดือน มาจากเรือนจำ ส่วนจำเลยอื่นได้รับประกันตัว
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์-จำเลย นำสืบหักล้างกันแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าเป็นการฟ้องจำเลยที่ 1-3, 6-7 ซ้ำกับคดียึดทำเนียบรัฐบาลและชุมนุมดาวกระจายหรือไม่ คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องข้อหายุยงปลุกปั่นและข้อหาอื่นเป็นพฤติการณ์ในวันที่ 5-7 ต.ค. 2551 แม้เหตุการณ์จะต่อเนื่องกัน แต่เจตนาในการชุมนุมแตกต่างกัน เป็นกรณีต่างกรรมต่างวาระ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
ปัญหาวินิจฉัยว่าพวกจำเลยกระทำผิดฐานยุยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116 และมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป โดยให้เลิกแล้วไม่เลิกตามมาตรา 215, 216 หรือไม่ เห็นว่าการชุมนุมของ พธม. มีแกนนำ พวกจำเลย และวิทยากรต่างๆ ขึ้นปราศรัยให้ความรู้ประชาชน ให้ตระหนักถึงสิทธิในความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ตรวจสอบนักการเมือง เมื่อประชาชนรับฟังคำปราศรัยแล้วเห็นด้วยว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ไม่ยึดหลักธรรมาภิบาล แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องโดยช่วยเหลือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จากคดีทุจริต, ช่วยเหลือคดียุบพรรคพลังประชาชนที่นายสมัครเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และกรณีนายสมัคร กับนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ได้เซ็นยินยอมให้ประเทศกัมพูชานำพื้นที่เขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการจ้างวานจูงใจผู้ชุมนุม ด้วยวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ต่อมาเมื่อนายสมัครพ้นจากตำแหน่ง นายสมชายขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ผู้ชุมนุมเห็นว่านายสมชายเป็นตัวแทนหุ่นเชิดของนายทักษิณ จึงชุมนุมคัดค้านต่อ โจทก์มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตามการชุมนุม ทั้งดูแลการชุมนุมและแฝงตัวหาข่าวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ต่างเบิกความสอดคล้องกัน ถึงการชุมนุมที่เป็นไปตามปกติ ไม่มีเหตุความรุนแรง มีการ์ดรักษาความปลอดภัยคอยตรวจสอบห้ามนำอาวุธและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าพื้นที่ชุมนุม ในวันเกิดเหตุไม่มีผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในสภา สอดคล้องกับพยานผู้ชุมนุมที่ยืนยันว่าได้ชุมนุมโดยสงบ และได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตา ทั้งนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตแกนนำ พธม. ได้ประกาศอยู่ตลอดว่าห้ามนำอาวุธและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าพื้นที่ชุมนุม จึงรับฟังได้ว่าพวกจำเลยชุมนุมโดยสงบ
การปราศรัยของพวกจำเลยที่กล่าวหานายสมชาย ซึ่งเป็นน้องเขยของนายทักษิณ เป็นตัวแทนนายทักษิณนั้น ก็ไม่เลื่อนลอยปราศจากเหตุผล เนื่องจากมีคดีที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณในเรื่องการทุจริต มีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหลายกรณี และกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งศาลมีคำพิพากษาไว้แล้ว เช่น คดีที่ดินรัชดาของนายทักษิณที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดียุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนในภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคณะกรรมการบริหารพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง คดีทุจริตที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และคดีที่ศาลปกครองกลางเพิกถอนการลงนามให้กัมพูชานำเขาพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว การหยิบยกมาปราศรัยและชุมนุมเชิงสัญลักษณ์นับว่าสมเหตุสมผล ชุมนุมโดยสงบปราศจากรุนแรง
ผู้ชุมนุมจำเป็นต้องปักหลักชุมนุมรอบรัฐสภา เนื่องจากสภาเป็นที่ประชุมตามระบอบประชาธิปไตย แม้การชุมนุมจะกีดขวางการจราจรบ้างเพราะมีผู้ชุมนุมมากก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ปรากฏเหตุวุ่นวายที่มาจากผู้ชุมนุม ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่บุกรุกยั่วยุ เหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นมาจากการสลายการชุมนุม ยิงแก๊สน้ำตาโดยไม่แจ้งเตือนล่วงหน้า ทำให้ผู้ชุมนุมไม่ทันหลบหลีกป้องกันตัว ได้รับบาดเจ็บหลายราย เมื่อผู้ชุมนุมรู้สึกโกรธแค้นจึงเกิดความไม่สงบ ใช้สิ่งของขว้างปา เมื่อเห็นตำรวจละเมิดสิทธิก่อน ย่อมเกิดความวุ่นวาย ยากที่แกนนำจะคาดหมายสถานการณ์ ไม่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมทำไปเพราะพวกจำเลยยุยงปลุกปั่น เป็นความวุ่นวายที่เกิดจากคนส่วนน้อย ผู้ชุมนุมทำไปเฉพาะตัว จะถือว่าจำเลยทั้งหมดกับผู้ชุมนุมอื่นชุมนุมไม่สงบด้วยหาได้ไม่ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 116, 215, 216
ประเด็นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งหมดกระทำผิดฐานข่มขืนใจ และหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือไม่ โจทก์มีอดีต ส.ว. ผู้เสียหายปากเดียวเป็นพยานเบิกความว่าต้องการเข้าไปประชุมรัฐสภา แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ พบผู้ชุมนุมเดินเข้ามาผลักอก พร้อมถามว่ามาทำไม ทำให้พยานเดินทางกลับ เห็นว่าผู้ชุมนุมโกรธแค้นหลังถูกสลายการชุมนุม จึงระบายอารมณ์ไม่พอใจกับผู้เสียหายด้วย แต่ทางนำสืบไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดอยู่บริเวณดังกล่าว จึงไม่รู้เห็น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้ชุมนุมที่ไม่ระงับอารมณ์จากสถานการณ์บีบคั้น
ส่วนที่อดีต ส.ส. ผู้เสียหายรวม 7 คน เบิกความว่าในช่วงบ่ายไม่สามารถเดินทางออกจากสภาได้ เพราะผู้ชุมนุมปิดล้อมทางเข้าออก นำโซ่ล็อกประตู มีรถบรรทุกจอดขวาง มีผู้ชุมนุมตะโกนว่าฆ่ามันนั้น เห็นว่าการสลายการชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากล ทำให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บหลายร้อยรายเป็นเรื่องร้ายแรง ทำให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ขณะนั้นแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ภายหลังศาลปกครองสูงสุดยังได้พิพากษาให้สำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายต่อผู้ชุมนุมด้วย การสลายการชุมนุมดังกล่าวทำให้ผู้ชุมนุมโกรธแค้น เกิดความวุ่นวายเป็นเรื่องธรรมดา ยากที่แกนนำจะควบคุมได้ทุกคน จากความไม่พอใจในขณะที่ด้านนอกสภาสลายการชุมนุม แต่ ส.ส. และ ส.ว. ประชุมกันตามปกติ ไม่ใยดีความเสียหายของคนไทยด้วยกัน ทำให้ผู้ชุมนุมระบายความรู้สึกด่าทอผู้เสียหายเมื่อประชุมเสร็จ
จากข้อเท็จจริงเป็นไปได้ว่า ผู้ชุมนุมมีความคับแค้นจากสถานการณ์พาไป เกิดขึ้นทันด่วน ยากที่แกนนำจะควบคุม ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งหมดมีส่วนยุยงปลุกปั่นตามฟ้อง มีเพียงการกระทำเฉพาะตัวเฉพาะรายของผู้ชุมนุมเอง พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคง พิพากษายกฟ้อง
หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น บรรดาญาติและแนวร่วม พธม. ที่เดินทางมาให้กำลังใจต่างแสดงความดีใจ เข้าไปจับมือพูดคุยแสดงความยินดีกับพวกจำเลยอย่างอบอุ่น บางรายก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ ขณะที่ภายหลัง นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่ม พธม. เปิดเผยว่า การกระทำของกลุ่ม พธม. บนเวทีมีการประกาศอยู่ตลอดเวลาว่าจะชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และมีการตรวจตราเวที ห้ามนำอาวุธ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปบริเวณภายในที่ชุมนุม เมื่อศาลดูประกาศ ดูแถลงการณ์ของ พธม. ดูเหตุการณ์ที่ พธม. ออกมาเคลื่อนไหว ศาลเห็นว่าการกระทำของ พธม. ทำเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญ ในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ดังนั้นข้อกล่าวหาทั้งหมด ศาลพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา ในขั้นตอนต่อไปอัยการโจทก์ต้องอุทธรณ์ภายใน 30 วัน หากเขียนคำอุทธรณ์ไม่ทันก็อาจจะขอขยาย พธม. ก็ต้องแก้อุทธรณ์ หากอัยการไม่อุทธรณ์ก็เป็นบุญของเรา มันจะได้เบาไปบ้าง
ด้านนาย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตแนวร่วม พธม. ที่มาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุสลายการชุมนุมในวันดังกล่าว พล.ต.จำลอง ไม่ได้ไปร่วม เพราะติดคุกอยู่กับตน ตามหมายจับคดีเคลื่อนไหวชุมนุมดาวกระจายก่อนหน้านั้น ซึ่งคดีวันนี้ศาลก็พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากการชุมนุมของจำเลยทั้ง 21 คนและพี่น้องประชาชนเป็นการชุมนุมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ จึงมีความชอบธรรม และเหตุการณ์ที่เกิดความรุนแรงนั้นเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่อย่างฉับพลัน ทำให้ผู้ชุมนุมบางคนอยู่ในอารมณ์โกรธเพราะได้รับความรุนแรง และมีความคิดในเชิงไม่พอใจต่อการทำหน้าที่ของตำรวจในการสลายการชุมนุมอย่างฉับพลันทันที ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน และไม่พอใจต่อการทำหน้าที่ของ ส.ส.ในขณะนั้น ซึ่งเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ความรุนแรงกับประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย สภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร ดังนั้นจึงเป็นความชอบธรรมของประชาชนที่ดำเนินการตามหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย
สำหรับจำเลยทั้ง 21 คน เรียงตามลำดับ ประกอบด้วย 1.นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม. 2.นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม. 3.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม. 4.นางมาลีรัตน์ แก้วก่า อายุ 65 ปีเศษ อดีต ส.ว.สกลนคร และอดีตแกนนำ พธม.รุ่น 2 5.นายประพันธ์ คูณมี อายุ 61 ปีเศษ อดีต สนช. 6.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม. 7.นายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปีเศษ อดีตผู้ประสานงาน พธม. 8.นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี อายุ 58 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม. 9.นายสำราญ รอดเพชร อายุ 60 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม. รุ่น 2 10.นายศิริชัย ไม้งาม อายุ 57 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม. รุ่น 2 11.นายสาวิทย์ แก้วหวาน อายุ 56 ปีเศษ อดีตแกนนำ พธม.รุ่น 2 12.นายพิชิต ไชยมงคล อายุ 37 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม. 13.นายอำนาจ พละมี อายุ 52 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม. 14.นายกิตติชัย ใสสะอาด อายุ 53 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม. 15.นายประยุทธ วีระกิตติ อายุ 63 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม. 16.นายสุชาติ ศรีสังข์ อายุ 58 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม. 17.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อายุ 61 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม. 18.นายศุภผล เอี่ยมเมธาวี อายุ 59 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม. 19.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก อายุ 53 ปีเศษ อดีตแนวร่วม พธม. 20.นายพิเชฐ พัฒนโชติ อายุ 64 ปีเศษ อดีตรองประธานวุฒิสภา 21. นายวีระ สมความคิด อายุ 61 ปีเศษ นักสิทธิมนุษยชน