MGR online - ผบช.สตม.ยัน “ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด” สาวซาอุฯ หนีแต่งงานเข้าไทย ปฏิเสธพบพ่อ เป็นอำนาจของ UNHCR ก่อนส่งตัวไปประเทศที่สาม
วันนี้ (9 ม.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) กล่าวถึงกรณี น.ส.ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด อัลกุนัน อายุ 18 ปี ชาวซาอุดีอาระเบีย ที่หนีการแต่งงาน ไม่อนุญาตให้บิดาที่เดินทางมาจากซาอุดีอาระเบียเข้าพบ ว่า ล่าสุดได้รับรายงานจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาบิดาของ น.ส.ราฮาฟได้เข้าพบกงสุลใหญ่ UNHCR เนื่องจากขณะนี้เป็นห่วงบุตรสาวที่อยู่ในความดูแลของ UNHCR และเตรียมเดินทางกลับประเทศซาอุดีอาระเบียในวันนี้
สำหรับ น.ส.ราฮาฟยังอยู่ในขั้นตอนการสัมภาษณ์ และหาประเทศที่สาม ซึ่งมีบางประเทศเสนอตัวและติดต่อไป คาดว่าภายในวัน 2-3 วันจะมีความเรียบร้อยในเรื่องนี้ ซึ่งน.ส.ราฮาฟจะได้ลี้ภัยไปประเทศที่สามตามความประสงค์ แต่ยังไม่สามารถยืนยันประเทศปลายทางได้ ส่วนจะเข้าหลักเกณฑ์การลี้ภัยหรือไม่นั้นตนไม่สามารถตอบได้ ตรงนี้เป็นอำนาจของ UNHCR ที่ต้องพิจารณา เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเพียงหน่วยประสาน และสนับสนุนความร่วมมือเท่านั้น
“การพบกับอุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ท่านได้แสดงความเชื่อมั่นการทำงานของตำรวจไทย ที่ยึดหลักความปลอดภัยของ น.ส.ราฮาฟ เป็นหลัก ซึ่งเรื่องนี้ไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตำรวจและอุปทูตฯ เข้าใจตรงกันว่าเป็นเรื่องในครอบครัว ต้องจบในครอบครัว และเป็นเรื่องของ น.ส.ราฮาฟ ที่ต้องการให้ UNHCR ดูแล ไม่ใช่ปัญหาระหว่างประเทศ หรือการลี้ภัยทางการเมือง” ผบช.สตม.กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปการสนทนาแสดงข้อคิดเห็นเรื่องการตรวจยึดโทรศัพท์ น.ส.ราฮาฟระหว่างถูกควบคุมตัว พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ยืนยันตำรวจไม่มีอำนาจในการตรวจยึด เนื่องจากไม่ใช่ของกลางในการกระทำผิด และเป็นสิทธิส่วนบุคคล
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้จะมีหนังสือแจ้งเตือนไปยังสายการบินคูเวตแอร์ไลน์ส พร้อมเตรียมพิจารณาปรับปรุงกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองที่ใช้มานานกว่า 40 ปี โดยจะมีการเพิ่มบทลงโทษสายการบิน กรณีไม่มีการตรวจสอบเอกสาร ตั๋วเครื่องเที่ยวกลับ หรือที่พักของผู้โดยสารให้ชัดเจน จนเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีก