xs
xsm
sm
md
lg

จับผัวเมีย 18 มงกุฎตระเวนหลอกคนทั่วประเทศสูญ 30 ล้าน เจ้าทุกข์แค้นโดดชกหน้าหงาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR online - ตำรวจกองปราบปราม ตามจับผัวเมีย 18 มงกุฎ อ้างเป็นผู้การ ปส. รู้จักคนใหญ่คนโต หลอกเอาทรัพย์เหยื่อสารพัดวิธี เสียหายกว่า 30 ล้าน พบมีหมายจับติดตัว 8 คดี เจ้าตัวยังอ้างเฉยผู้เสียหายมอบเงินทองและทรัพย์สินให้ด้วยความเสน่หาเอง เจ้าทุกข์สุดทนปรี่เข้าชกหน้าหงาย


วันนี้ (14 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รรท.ผบก.ป. มอบหมายให้ พ.ต.อ.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ท.อนุชา ธนะอุดม พ.ต.ท.อรรถพล พานประทีป พ.ต.ท.วิวัฒน์ จิตโสภากุล พ.ต.ท.สิงห์ชัย ฐานไชยสิทธิ์ รอง ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ท.ประทีป ชูศรี สว.กก.3 บก.ป. แถลงผลจับกุม นายประเวทย์ คิมฉ่ง หรือ ชนะพล วงศ์สว่าง อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่บ้านเศรษฐกิจ 31 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. และ น.ส.เพ็ญนภา ภู่พันธ์ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77/3 หมู่ 1 ต.ดงเดือย อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ 279-280/2561 ลงวันที่ 30 ส.ค. 2561 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเป็นคนอื่นและกระทำผิดฐานอั้งยี่” ได้ที่โรงแรมลอฟท์มาเนียชุมพร ต.ท่าตะเภา อ.เมือง จ.ชุมพร

พ.ต.อ.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ มีผู้เสียหลายรายเข้าร้องเรียนว่า ถูก นายประเวทย์ และ น.ส.เพ็ญนภา ฉ้อโกง โดยพฤติกรรมจะทำทีมาติดต่อกับกลุ่มนักธุรกิจเพื่อต้องการเช่าคอนโดมิเนี่ยม จากนั้นได้อ้างตัวว่า เป็น ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบก.ปส.) ชื่อผู้การพี รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคน ทั้งรัฐมนตรี นักธุรกิจชื่อดัง นายทหาร นายตำรวจ ระดับสูง ระหว่างนั้นก็ได้แสร้งพูดคุยโทรศัพท์กับทางผู้ใหญ่ระดับสูงอยู่หลายครั้ง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นนายตำรวจจริง

ต่อมาผู้ต้องหาก็ได้ทำทีหลอกให้ผู้เสียหายหาพระเครื่องหลวงปู่หมุนมาให้ เนื่องจากเป็นคนชอบสะสมพระเครื่องของหลวงปู่ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงไปนำพระเครื่องจากพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ต้องการขายพระจำนวน 14 องค์ มูลค่า 5 แสนบาท มามอบให้ จากนั้น นายประเวทย์ ได้อ้างว่า ต้องนำพระเครื่องทั้งหมดไปให้เซียนพระใน จ.สุพรรณบุรี ตรวจสอบว่าเป็นพระแท้หรือไม่ หากเป็นพระแท้จะจ่ายเงินสดให้ผู้เสียหายทันที ต่อมาผู้ต้องหาได้ออกอุบายว่าให้ขับรถไปคนละคันเพื่อความสะดวก แต่ระหว่างเดินทางผู้ต้องหาก็ได้เร่งเครื่องขับหนีไป ผู้เสียหายจึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองอุบลราชธานี

พ.ต.อ.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า นอกจากจะอ้างเป็นนายตำรวจระดับผู้บังคับการ แล้ว ผู้ต้องหายังอ้างตัวเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ ก่อนทำทีสนิทกับเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีฐานะร่ำรวยและอาศัยอยู่บ้านเพียงลำพัง จากนั้นก็จะสำรวจว่าพอจะหลอกเอาทรัพย์อะไรได้บ้าง ถ้ามีที่ดินจะทำทีขอซื้อที่ดิน หากเป็นนักสะสมพระเครื่องก็จะทำทีขอเช่าพระเครื่อง หรือหากเหยื่อมีลูกหลานก็จะหลอกฝากเข้ารับราชการ โดยตระเวนก่อเหตุหลอกลวงชาวบ้านหลายพื้นที่เกือบทั่วประเทศ ได้เงินสดและทรัพย์สิน เช่น พระเครื่อง สร้อยคอทองคำ และ โทรศัพท์มือถือ หลายรายการ มีผู้หลงตกเป็นเหยื่อกว่า 20 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้าน

สำหรับพฤติกรรมการก่อเหตุนั้น ผู้ต้องหาจะมาจากตอนที่เคยเป็นสายลับให้ตำรวจ บช.ปส. อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า นายประเวทย์ มีหมายจับติดตัวคดีฉ้อโกงรวม 8 คดี และ เคยถูกจับในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงก่อนพ้นโทษเมื่อปี 2558 และกลับมาก่อเหตุซ้ำอีก

ด้าน นางอุศนี บุญช่วย อายุ 49 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า นายประเวทย์ ได้เข้ามาตีสนิทถามข้อมูลจาก น.ส.เอ (ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง) ซึ่งเป็นลูกสาวของรุ่นน้องที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะเข้ามาที่บ้านและแอบอ้างว่ารู้จักกับคนใหญ่คนโต ตอนแรกเขาก็สอบถามเรื่องที่ดิน แต่ตนก็ไม่ได้สนใจ พอคุยไปคุยมาเขาทราบว่าตนมีลูกชาย เขาก็เลยอ้างว่าจะช่วยฝากให้เข้ารับราชการ เพราะรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่สามารถฝากเข้ารับราชการได้ แต่ต้องจ่ายเงินค่าดำเนินการให้ผู้ใหญ่ ด้วยความที่เขาแต่งตัวดูภูมิฐานน่าเชื่อถือ จึงมอบเงินสดให้ไป 60,000 บาท และพระเครื่องของสามีอีก 2 องค์ เมื่อได้ทรัพย์สินแล้วผู้ต้องหาก็ได้หลบหนีไป

สอบสวน นายประเวทย์ ให้การรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุจริง แต่ผู้เสียหายมอบเงินทองและทรัพย์สินด้วยความเสน่หาเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาสอบปากคำที่กองปราบ ก็มีผู้เสียหายรายหนึ่งเกิดความโกรธแค้น เดินปรี่เข้ามาต่อยใบหน้าของ นายประเวทย์ 1 ครั้งจนหน้าหงาย เจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยกันห้ามปรามและกันตัวผู้ต้องหานำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุบลราชธานี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป







กำลังโหลดความคิดเห็น