MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง “ศักดิ์ชัย กาย” อดีต บก.บห.นิตยสารชื่อดัง โดน พล.ต.ต.เพ็ชร์ ณ ป้อมเพ็ชร์ ฟ้องข้อหาปลอมเช็คและใบถอนเงิน 158 ล้าน ชี้ ขณะโจทก์เซ็นมอบอำนาจยังมีสติสัมปชัญญะ แม้ป่วยแต่ไม่รุนแรง และเห็นการเคลื่อนไหวทางบัญชีธนาคารมาตลอด แต่ไม่โต้แย้ง ส่วนข้อหาฉ้อโกง โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้อง จึงพิพากษาไม่ได้
วันนี้ (19 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำที่ อ.1201/2557 ที่ พล.ต.ต.เพ็ชร์ ณ ป้อมเพ็ชร์ โดย น.ส.นพมาศ ณ ป้อมเพ็ชร์ ฐานะผู้อนุบาล เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศักดิ์ชัย กาย อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารชื่อดังและนักจัดดอกไม้ชื่อดัง เป็นจำเลย ในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266, 268 กรณีเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2543 จำเลยได้ปลอมใบถอนเงิน ธ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีลายมือชื่อของโจทก์แล้ว นำไปถอนเงินจำนวน 158,330,000 บาท ในรูปของแคชเชียร์เช็คแล้วนำไปเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2559 พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่าพยานโจทก์ที่นำสืบมายังไม่อาจฟังได้ว่าเช็คและใบถอนเงินเป็นเอกสารปลอม เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่าเช็คและใบถอนเงินเป็นเอกสารปลอม ดังนั้น ไม่ว่าผู้ใดจะนำไปใช้แสดงต่อธนาคารก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอม และที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยปลอมเอกสารโดยการกรอกข้อความลงใบถอนเงินที่มีชื่อโจทก์ แต่ก็ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ และไม่ได้ระบุว่าจำเลยนำไปใช้เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือผู้ใดนั้น คำฟ้องโจทก์ จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา 264 วรรคสองด้วย
ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์คดี ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2560 เห็นว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พล.ต.ต.เพ็ชร์ ไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะลงลายมือชื่อได้ เนื่องจากป่วยเลือดออกในสมองนั้น แต่จากการตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ พบว่า ช่วงเวลาที่มีการเซ็นเอกสาร และเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 158 ล้านกว่าบาท ให้จำเลยนั้น เกิดขึ้นก่อนที่ พล.ต.ต.เพ็ชร์ จะมีอาการเลือดออกในสมองจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งขณะนั้น พล.ต.ต.เพ็ชร์ มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน อีกทั้งอาการป่วยก็ไม่มีมูลว่าอาการจะถึงขั้นไร้สติสัมปชัญญะ จนถึงขนาดไม่สามารถลงลายมือชื่อได้ นอกจากนี้ ยังมีพยานเป็นพนักงานธนาคารที่สั่งจ่ายเช็คดังกล่าว ยืนยันว่า มีการตรวจดูลายมือภายในเช็คกับลายมือต้นฉบับก็ตรงกัน อีกทั้งยังมีการส่งรายงานความเคลื่อนไหวในบัญชีเงินฝากให้กับโจทก์ ดูรายละเอียดทุกเดือน ซึ่งโจทก์เป็นผู้ที่มีความรู้ และมีการศึกษาจากต่างประเทศ มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน จึงสามารถดูความเคลื่อนไหวและสังเกตเห็นความผิดปกติของเงินที่ออกจากบัญชี ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่มีการร้องเรียนถึงความผิดปกติในบัญชีดังกล่าว อีกทั้งจำเลยยังมีการถ่ายรูปขณะเซ็นเอกสาร เป็นหลักฐาน ส่วนประเด็นที่โจทก์ยื่นว่ามีการปลอมลายเซ็นนั้นก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ลายเซ็นในเอกสารต่างๆ เป็นลายเซ็นของปลอม ประเด็นนี้จึงไม่มีน้ำหนัก ศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลย
วันนี้ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า แม้ขณะที่โจทก์สั่งจ่ายเช็คมีอายุมากแล้ว และจะต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาประกอบกับพยานโจทก์ที่เบิกความแล้ว ปรากฏว่าโจทก์เข้ารักษาอาการป่วยตามปกติซึ่งไม่รุนแรง ไม่ถึงกับขาดสติสัมปชัญญะ จนถึงขั้นไม่สามารถทำนิติกรรมได้ อีกทั้งตามที่พยานเจ้าหน้าที่ธนาคารเบิกความนั้น โจทก์ไม่เคยโต้แย้งการเคลื่อนไหวทางบัญชี ทั้งที่มีความรู้ความสามารถต้องเข้าใจการทำนิติกรรมเป็นอย่างดี ขณะที่การปลอมลายมือชื่อก็มีเพียงพยานโจทก์เบิกความลอยๆ จึงเชื่อได้ว่าเป็นลายมือชื่อของโจทก์จริง พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่นั้น โจทก์บรรยายฟ้องในฐานปลอมเอกสารทำให้โจทก์เสียหาย ไม่ได้บรรยายว่ากระทำความผิดฐานฉ้อโกงอย่างไร จึงมิอาจพิพากษาลงโทษฐานฉ้อโกงได้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง
ภายหลัง นายศักดิ์ชัย ให้สัมภาษณ์หลังศาลฎีกายกฟ้องว่า ความจริงปรากฏแล้วว่าตนไม่มีความผิดข้อหาปลอมเอกสาร ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ตลอดเวลาที่ผ่านมาตนไม่เคยให้สัมภาษณ์ เพราะเห็นว่าเป็นคดีครอบครัว ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จึงขอเงียบมาตลอด ในส่วนคดีแพ่งที่ตนถูกฟ้องด้วยนั้น ศาลมีคำสั่งให้พักเพื่อรอคำพิพากษาในส่วนของคดีอาญาคดีนี้ นอกจากนี้ ยังมีคดีแพ่งที่ตนยื่นฟ้องเช่นกัน แต่คิดว่าจะถอนฟ้องคดีทั้งหมด ที่ผ่านมา รู้สึกว่าโลกโซเชียลโหดร้ายกับตนมาตลอดระยะเวลา 15 ปี แต่ด้วยความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม จึงต่อสู้คดีอย่างเงียบๆ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์