MGR Online - อดีตพระพุทธะอิสระ แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเวทีแจ้งวัฒนะ เดินทางมาศาล พร้อมให้การรับสารภาพในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวทำร้ายตำรวจสันติบาล ศาลนัดพิพากษา 29 ต.ค.ซึ่งจำเลยอยู่ในระหว่างประกันตัว ศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
วันนี้ (12 ก.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องเวรชี้ ชั้นล่างศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ อายุ 59 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย แกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ปี 2557 ได้เดินทางมาตามนัดเพื่อสอบคำให้การในคดีหมายเลขดำที่ อ.2498/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ยื่นฟ้องนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยการใดให้เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ฯ ให้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายฯ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310
โดยวันนี้อดีตพระพุทธะอิสระซึ่งสวมชุดสีขาวและนั่งรถเข็น เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ บุคคลใกล้ชิดและลูกศิษย์ที่เดินทางมาให้กำลังใจจำนวนมาก
ทั้งนี้ ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องแล้วสอบถามว่าจะให้ปฏิเสธหรือรับสารภาพ ปรากฎว่าอดีตพระพุทธะอิสระให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่คุมประพฤติสืบเสาะประวัติและรายละเอียดเพื่อประกอบการพิพากษา ในวันที่ 29 ต.ค. 2561 เวลา 09.00 น.
ต่อมาเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่จึงได้ให้อดีตพระพุทธะอิสระซึ่งนั่งรถเข็นเนื่องจากเพิ่งผ่าตัดดวงตาข้างขวาและมีปัญหาข้อเข่าเสื่อม ไปรายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 7 ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน
น.ส.วิทยารัตน์ ชาติปรีชากุล ผอ.สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 7 เปิดเผยว่า คดีนี้ศาลสอบคำให้การจำเลยแล้วให้การรับสารภาพ ศาลจึงสั่งให้จำเลย เข้าสู่กระบวนการสืบเสาะและพินิจ โดยให้สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 7 ทำหน้าที่สืบเสาะดูรายละเอียดทุกอย่างตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ทั้ง ประวัติ สุขภาพ และพฤติการณ์ทางคดี แล้วรายงานเพื่อประกอบการพิพากษาของศาลในวันที่ 29 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
ขณะเดียวกัน ภายหลังเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่คุมประพฤติแล้ว อดีตพระพุทธะอิสระได้แถลงเป็นเอกสารต่อสื่อมวลชนว่า เนื่องด้วยนฐานะผู้นำการชุมนุมของประชาชนเวทีแจ้งวัฒนะขอแถลงต่อศาลว่า การที่มีชาย 2 คนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลถูกการ์ดจิตอาสารุมทำร้ายจนบาดเจ็บ แม้ตนจะไม่รู้เห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ผู้อื่นจะเป็นผู้กระทำก็ตาม จึงขอแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดทั้งมวลที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ได้เป็นผู้กระทำก็ตามและพร้อมที่จะช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายตามกำลังความสามารถที่ตนมี จึงกราบเรียนข้อความข้างต้นต่อศาลที่เคารพ
สำหรับคดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 เวลากลางวัน ขณะนั้นมีการตั้งเวทีปราศรัยของกลุ่ม กปปส.ที่ ถ.แจ้งวัฒนะ บริเวณหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีจำเลยเป็นหัวหน้าผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณเวทีดังกล่าวทั้งหมด
โดยจำเลยกับกลุ่มบุคคลไม่ทราบชื่อจำนวนมากกว่า 5 คนขึ้นไป ซึ่งทำหน้าที่เป็นการ์ดคอยดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณเวทีปราศรัยที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบูรพงศ์ ผู้เสียหายที่ 1-2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้เข้าไปทำหน้าที่สืบสวนหาข่าว
จำเลยกับพวกได้ใช้กำลังจับผู้เสียหายทั้งสองปิดตา มัดมือไพล่หลัง ใช้กำลังประทุษร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัส กระดูกซี่โครงหักและตับฉีกขาด บาดแผลใช้เวลารักษาตัวประมาณ 6 สัปดาห์ ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย มีบาดแผลฟกช้ำหลายแห่ง ฟันซ้ายล่างหัก ใช้เวลารักษาตัวประมาณ 10 วัน และเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองถูกประทุษร้ายสูญหายมูลค่ารวม 60,900 บาท
นอกจากนี้ จำเลยกับพวกยังร่วมกันข่มขู่ให้ผู้เสียหายทั้งสอง บอกรหัสปลดล็อกโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายให้บอกว่าตนเป็นผู้ใด เข้ามาบริเวณที่ชุมนุมเพื่ออะไร เมื่อไม่ยอมบอกพวกของจำเลยจึงใช้กำลังประทุษร้ายและข่มขู่จนผู้เสียหายทั้งสองต่างจำยอมตามที่พวกของจำเลยข่มขู่ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ควบคุมการชุมนุมมีอำนาจสั่งการให้พวกของจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้ จำเลยทราบว่าพวกของจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทั้งสองไว้ แต่กลับเพิกเฉยไม่สั่งให้ปล่อยตัวไป และสั่งการพวกของจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทั้งสองไว้เป็นเวลาหลายชั่วโมง
เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ทั้งนี้อัยการได้ขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขดำที่ อ.247/2561 (คดีกบฏ กปปส.) ด้วย ซึ่งจำเลยได้รับการประกันตัว โดยศาลตีราคาประกัน 200,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นได้รับอนุญาตจากศาล