MGR online - รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่งมอบสำนวนคดี 2 สามี ภรรยา ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด เปิดร้านทองบังหน้า ใช้เล่ห์เหลี่ยม และช่องทางกฎหมาย รับจำนอง ขายฝาก ซื้อขายที่ดิน แล้วให้ลูกหนีเซ็นชื่อในกระดาษเปล่า หากขาดส่งตามสัญญาจะถูกยึดที่ดิน
ที่ห้องประชุมสำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (8 ส.ค.) พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย ผบก.ปคบ.และ พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบก.ป.ส่งมอบสำนวนคดี นายทุนเงินกู้ฉ้อโกงประชาชน จำนวน 8 แฟ้ม 3,640 หน้า พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายพรเลิศ อนุรักษ์มนตรี อายุ 57 ปี และ นางธนพร อนุรักษ์มนตรี อายุ 47 ปี นายทุนเงินกู้นอกระบบเรียกดอกเบี้ยสูง ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ผู้ต้องหาสามีภรรยา รวม 5 ข้อหา ประกอบด้วย ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม, ร่วมกันให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมี นายพิทักษ์ อบสุวรรณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา, นายพรชัย ชลวาณิชกุล รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา, นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด รับมอบสำนวนและแถลงข่าว
พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งทางพนักงานสอบสวน ปคบ.ได้สืบสวนสอบสวนและได้มีการติดตามกรณีที่ผู้กระทำผิดในลักษณะอำพราง ตำรวจได้ประสานกับอัยการและขอคำแนะนำเพื่อต้องการดำเนินคดีให้รัดกุม
พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์กล่าวถึงรายละเอียดในคดี ว่า สำหรับผู้ต้องหาทั้งสองรายที่เป็นสามีภรรยากัน ได้เปิดร้านทองบังหน้า โดยพฤติการณ์กระทำผิดมีลักษณะอำพรางเรียกดอกเบี้ยสูง โดยหลอกให้เซ็นสัญญาในกระดาษเปล่า โดยให้นำโฉนดที่ดินมาเป็นค้ำประกัน โดยสำนวนที่ส่งให้วันนี้ มีผู้เสียหายทั้งสิ้น 25 ราย มูลค่าความเสียหาย 25 ล้านบาทเศษ ขณะนี้ยังมีผู้เสียหายอีกกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 20 ราย ซึ่งตำรวจภูธร ภาค 4 พื้นที่ จ.ภาคอีสานตอนบน กำลังสืบสวนสอบสวนรวบรวมหลักฐานของนายทุนผู้กระทำผิดที่มีลักษณะเดียวกันนี้ แต่ไม่ใช่กลุ่มเดียวกันต่อไป
สำหรับสำนวนสามีภรรยาเจ้าของร้านทองใน จ.ขอนแก่น ที่นำมามอบให้อัยการ ได้ระบุแยกแยะพฤติการณ์แต่ละข้อหา ช่วงเวลา เหตุการณ์และอายุความที่ชัดเจน โดยคดีนี้มีอายุความสูงสุด 10 ปี ซึ่งการสอบสวนของตำรวจ ปคบ.ก็ได้ตรวจสอบย้อนหลังการกระทำผิดไปประมาณ 10 ปี ที่ผ่านมา ส่วนเรื่องทรัพย์สินของผู้กระทำผิดในคดีนี้ก็ได้มีการแจ้งเรื่องให้ ปปง. ดำเนินการเกี่ยวกับการยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดต่อไป
ขณะที่ นายพิทักษ์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลและประชาชนให้ความสนใจ ประกอบกับพฤติการณ์ ส่งผลกระทบทำให้ประชาชนที่เป็นเกษตรกรชาวไร่ชาวนาได้รับความเดือดร้อนจากการถูกหลอกลวงกู้ยืมเงินโดยนายทุนนำโฉนดที่ดินไว้เป็นหลักประกัน ดังนั้น อัยการจึงได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสำนวนพยานหลักฐาน โดยมีนายอธึก คล้ายสังข์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 และคณะรับผิดชอบสำนวน ซึ่งจะมีการพิจารณาสูงขึ้นมาเป็นลำดับชั้น ผ่านนายพรชัย ชลวาณิชกุล รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาและตนพิจารณาในขั้นตอนสุดท้าย
ขณะที่คดีนี้อัยการก็จะพยายามดำเนินการพิจารณาสำนวนให้ทันในเวลาที่เร่งรัด เพราะภายหลังจับกุมได้มีการฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองไว้ต่อศาลอาญา ซึ่งจะครบกำหนดฝากขังครั้งสุดท้ายในวันที่ 15 ส.ค.นี้
ส่วน นายพรชัย กล่าวถึงพฤติการณ์ภาพรวมของผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้ ว่า เจตนากระทำนิติกรรมอำพราง โดยนายทุนเงินกู้ซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า ใช้เล่ห์เหลี่ยมและช่องทางข้อกฎหมายด้วยการติดประกาศรับจำนอง ขายฝาก ซื้อขายที่ดินอ้างว่าอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งกลุ่มเกษตรกรชาวไรชาวนาต่างพากันหลงเชื่อ แล้วไปขอกู้ซึ่งจะต้องเป็นรายที่มีโฉนดที่ดินเท่านั้น หากไม่มีโฉนดที่ดินก็จะไม่ปล่อยกู้ โดยให้ทำสัญญาต่างๆ เช่น สัญญากู้ยืม สัญญาซื้อไปขายมา สัญญาฝากขาย ซึ่งจะให้เจ้าของที่ดินนั้นลงลายมือชื่อ ในสัญญากระดาษเปล่าที่ไม่มีรายละเอียด โดยมีการเก็บอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 3, ร้อยละ 5, ร้อยละ 7 ต่อเดือน เมื่อมีการกู้ยืมเงินหลักแสนบาท แต่เมื่อหาเงินมาจ่ายไม่ทัน ดอกเบี้ยก็จะทบเท่าตัว อาจจะถึงหลักล้านบาท
“คดีนี้จะเป็นคดีต้นแบบ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรวบรวมหลักฐานและดำเนินคดีเพื่อทำให้เป็นคดีตัวอย่าง” นายพรชัย ระบุ
ด้าน นายประยุทธ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวในตอนท้ายว่า การพิจารณาสำนวนคดีนี้คณะทำงานของอัยการคดีอาญา 6 ภายใต้การดูแลของนายพรชัย รองอธิบดีสำนักงานคดีอาญา ก็จะเร่งรัดพิจารณาทำความเห็นในคดีนี้ตามระเบียบขั้นตอนกฎหมายโดยเร็ว ซึ่งในวันที่ 15 ส.ค.นี้ เมื่อมีความคืบหน้าอัยการก็จะแจ้งรายละเอียดให้ประชาชนทราบต่อไป