MGR Online - อุทธรณ์ยกฟ้อง “วัฒนา เมืองสุข” ยืนแถลงข่าวบริเวณหน้าบันไดศาลอาญา เมื่อปี 60 ระหว่างค้านฝากขังคดีผิด พ.ร.บ.คอมพ์ ชี้ตอบคำถามเหมือนกับบุคคลทั่วไป และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีหรือมีผลกระทบต่อคดีจึงไม่ละเมิดอำนาจศาล
วันนี้ (17 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีละเมิดอำนาจศาล หมายเลขดำที่ ล.14/2560 ที่ผู้อำนวยการศาลอาญา เป็นผู้กล่าวหานายวัฒนา เมืองสุข อายุ 60 ปี อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นผู้ถูกกล่าวหา
กรณีเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2560 นายวัฒนา ผู้ถูกกล่าวหา พร้อมด้วยนายนรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความของนายวัฒนา ได้มายื่นคำร้องอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งฝากขังของพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในคดีกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ต่อศาลอาญา หลังจากนั้นได้ไปยืนแถลงข่าวบริเวณหน้าบันไดศาลอาญาต่อสื่อมวลชน โดยไม่ได้ขออนุญาตจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเพื่อเผยแพร่ข่าว อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติ (ก.บ.ศ.) ว่าด้วยการให้ข่าวและบริการข่าวศาลยุติธรรม
คดีนี้ศาลอาญาที่เป็นศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 เดือน ปรับ 500 บาท แต่ให้รอการลงโทษ 2 ปี และคุมประพฤติโดยกำหนดห้ามกระทำผิดซ้ำอีก ต่อมานายวัฒนา ผู้ถูกกล่าวหายื่นอุทธรณ์
วันนี้ นายวัฒนาพร้อมนายนรินทร์พงศ์ ทนายความเดินทางมาศาล โดยนายวัฒนาไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว จากการไต่สวนได้ความว่าก่อนวันที่ 28 ส.ค. 2560 มีการส่งข้อความทางไลน์เชิญสื่อมวลชนร่วมทำข่าวการยื่นอุทธรณ์คำสั่งฝากขังที่บันไดศาล ลงชื่อ ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต (นามสกุลเดิม) เมื่อถึงวันดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาได้เข้ายื่นอุทธรณ์ต่อศาลแล้วลงไปหน้าบันไดศาล มีผู้สื่อข่าวสอบถามพูดคุย เจ้าหน้าที่จึงบันทึกภาพไว้ ปัญหาต้องวินิจฉัยว่าผู้ถูกกล่าวหาละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ผู้กล่าวหามีพยานเจ้าหน้าที่เบิกความว่าหลังการยื่นอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาได้แถลงต่อสื่อมวลชนประมาณ 5 นาที และได้รายงานเสนอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาทราบ ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเบิกความว่าไม่ได้เป็นผู้ส่งข้อความทางไลน์ และไม่ทราบระเบียบการให้ข่าว สอบถามเจ้าหน้าที่แล้วบอกสามารถให้ข่าวได้ เป็นจุดที่ผู้สื่อข่าวทำอยู่เป็นประจำ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การส่งข้อความทางไลน์ดังกล่าวไม่ปรากฏชัดว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้อง ลำพังการให้สัมภาษณ์จะบอกว่าเป็นการรู้เห็นเรื่องการส่งข้อความหาได้ไม่ โดยผู้ถูกกล่าวหาเดินออกมาให้ข่าวเหมือนกับบุคคลอื่นในคดีที่ไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น และเป็นการตอบคำถามทั่วไปกับผู้สื่อข่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่น่าจะเตือนได้ถ้าขัดระเบียบ แต่กลับมีการบันทึกภาพมาแจ้งเรื่องละเมิดอำนาจศาล จึงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้นัดหมายผู้สื่อข่าว และการตอบคำถามผู้สื่อข่าวก็เหมือนบุคคลทั่วไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีหรือมีผลกระทบต่อคดี ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีเจตนาฝ่าฝืนระเบียบ ไม่ถือว่าเป็นการประพฤติไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหาฟังขึ้น พิพากษากลับว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิดละเมิดอำนาจศาล
ต่อมา นายนรินทร์พงศ์ ทนายความของนายวัฒนาเปิดเผยว่า ศาลได้มีคำพิพากษากลับคือไม่เห็นด้วยที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีละเมิดอำนาจศาลในกรณีที่แถลงข่าวที่หน้าศาลอาญา โดยในอุทธรณ์ที่เราได้เขียนไปในรายละเอียดว่า ในประเด็นการที่ให้ข่าววันนั้นเป็นการให้ข่าวตามปกติ และไม่ได้พาดพิงถึงคดีที่มีปัญหาในขณะที่เรายื่นคำร้องค้านฝากขัง และไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องละเมิดอำนาจศาลเลยแม้แต่เรื่องเดียว เป็นสิทธิ เนื่องจากผู้สื่อข่าวได้ตามมาแล้วขอสัมภาษณ์ในประเด็นต่างๆ ที่ผู้สื่อข่าวตั้งคำถามมา รายละเอียดในสำนวนที่เราสู้ไปก็สรุปว่า วันนี้ศาลอุทธรณ์มีการกลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ฉะนั้นที่นายวัฒนาโดนคดีละเมิดอำนาจศาลก็จบไป
“ศาลบอกว่าก็เป็นเรื่องที่ท่านวัฒนาไม่ได้ฝ่าฝืนระเบียบ หรือไม่ได้ทำการสัมภาษณ์ที่เป็นเรื่องละเมิดอำนาจศาลแต่อย่างใด เป็นเรื่องปกติที่เมื่อออกมาผู้สื่อข่าวก็จะถามตามที่ผู้สื่อข่าวอยากจะทราบ แล้วท่านก็ตอบคำถามที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ท่านมาศาลในวันนั้น และข้อสำคัญที่สุดศาลก็ตอบว่าก็ไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงกลับเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เลยนำเรียนว่าก็เป็นการดำเนินการที่สื่อสารต่อหน้าศาลโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ละเมิดอำนาจศาลแต่อย่างใด”
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการยื่นอุทธรณ์คัดค้านฝากขังผลเป็นอย่างไรบ้าง นายนรินทร์พงศ์ระบุว่า เรื่องนั้นจบไปแล้ว ศาลบอกว่าการฝากขังเป็นไปตามกระบวนการ เป็นเรื่องระหว่างศาลกับพนักงานสอบสวน