รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ผู้จัดการ 360 วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 ตอน เปิดลับ “พลังประชารัฐ”สะดุด “3 ส.”เปลี่ยนขุนพลกลางศึก ดัน“สมศักดิ์”ชำระแค้นทักษิณ
วันนี้เรามาคุยเรื่องการเมืองของเรือแป๊ะ ที่แล่นมาไกล เข้าปีที่ 5 แล้ว สามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมมาได้ถึงวันนี้อย่างราบรื่น แต่เส้นทางข้างหน้าที่จะไปต่อนั้น ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกยตื้น เพราะยิ่งอยู่นานและยังปูทางจะกลับมาครองอำนาจต่อไปอีก ก็ยิ่งต้องเผชิญอุปสรรคขวากหนามหนักกว่าที่เคยเจอหลายเท่านัก
คนมีอำนาจเปรียบเหมือนกบก้นบ่อน้ำ ที่ได้ออกมาจากแอ่งน้ำก้นบ่อ มามีวาสนาได้มีอำนาจ ก็เลยไม่อยากกลับไปอยู่ก้นบ่อที่เรียบง่ายแล้ว คสช. ก็ไม่มีข้อยกเว้นจึงวางยุทธศาสตร์ไว้ ให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ดูเหมือนเรื่องนี้เวลานี้คิดได้ แต่ยังหวังเต็มที่ไม่ได้
ใครก็รู้ว่า ยุทธศาสตร์การเมืองของคสช.และ “บิ๊กตู่”กำลังจะเดินหน้าทำพรรคการเมืองในนาม “พรรคพลังประชารัฐ”มาเป็นกองหนุนส่งให้พลเอก ประยุทธ์รีเทิร์นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งในต้นปีหน้า
โดยพรรคพลังประชารัฐที่ตระเตรียมตั้งขึ้นมาแต่แรกไม่คิดว่าจะมีปัญหา เพราะอำนาจมี เงินก็เยอะ พลังดูดแรง เปิดตัวมาตอนแรก บรรดาพวกนกกา พวกนกรู้ทั้งหลายก็พากันโผมาซบกันสนั่นเนืองแน่น
แต่คนยิ่งมาก็ยิ่งเป็นปัญหา เวลานี้พรรคพลังประชารัฐกลับประสบปัญหาหลายด้าน จนเป็นเรื่องที่คนวงในระดับคีย์แมนผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐหนักใจไม่น้อย
ปัญหาก็เริ่มตั้งแต่ว่า การกำหนดแนวทางและภาพลักษณ์พรรคพลังประรัฐจะดูดีน่าเชื่อถือได้อย่างไร เป็นโจทย์สำคัญว่าพลังประชารัฐจะเป็นสถาบันการเมืองแบบไหน ที่ไม่ให้ถูกมองว่า เป็นพรรคเฉพาะกิจ พรรคทหาร ซ้ำรอยพรรคสามัคคีธรรมเมื่อปี2535
เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป คำตอบยังไม่มีอะไรชัดเจน ทั้งที่ผ่านการประชุมกันทั้งวงเล็กและวงใหญ่หลายรอบมาแล้ว ก็ยังคิดกันไม่ตก ไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมออกมาสักที
ปมนี้เป็นตัวอย่างในข้อขัดข้องหลายประการ ซึ่งเป็นเหตุให้ จู่ๆพรรคพลังประชารัฐก็เครื่องสะดุดและน๊อคไปดื้อๆข่าวเงียบไป ไม่มีความเคลื่อนไหวอย่างน่าแปลกใจ จากที่ช่วงแรกที่คึกคัก มาแบบร้อนแรงทะลุปรอท
ในระยะหลังมีข่าวว่า มีการสั่งการจากผู้ใหญ่ที่อยู่ในศูนย์อำนาจให้ระมัดระวังไม่ให้ข่าวการตั้งพรรคประชารัฐ หลุดออกไปมาก เพราะจะถูกเพ่งเล็ง จึงทำให้การติดต่อประสานงานเป็นเรื่องลับเฉพาะในระดับแกนนำพรรคที่อยู่ในระดับบนสุด ใช้วิธีคุยกันโดยตรงเพียงไม่กี่คน
ทำให้กลุ่มก่อตั้งพรรคแรกๆ ที่มีบทบาทในการเคลื่อนและเปิดตัวไปยื่นขอจดแจ้งการใช้ชื่อพรรคกับกกต. ไม่มีบทบาท รอฟังจากผู้ใหญ่จากศูนย์อำนาจอย่างวังเวง จนถึงขณะนี้ทางด้านทะเบียนจัดตั้งพรรคก็ยังไม่มีชัดเจน ยังไม่ไปขอจองชื่อพรรคกับกกต. ด้วยซ้ำ ในขณะที่พรรคอื่นเขาไปกันไกลแล้ว
ความอึมครึมในกลุ่มพลังประชารัฐ ทำให้อดีตนักการเมืองรุ่นใหญ่หลายคน ที่เคยมีข่าวว่าจะร่วมวงพลังประชารัฐ เลยชักลังเล จะใส่เสื้อพลังประชารัฐกันต่อไปหรือไม่ และหลายคนเริ่มมองหาพรรคใหม่มาสำรองแล้ว
ความไม่แน่นอนที่เป็นเหตุสั่นคลอนจิตใจคนที่ถูกดูดมาเข้ากลุ่ม เมื่อมาเต็มตัว ก็เจอปัญหาว่า ส่วนหัว แกนนำ ของพรรคยังไม่ชัดเจน ว่าใครจะมานำพรรค ก็เลยทำให้ดูแล้ว การตั้งพรรคพลังประชารัฐอาจจะล่มก็เป็นได้ หรืออาจจะคลาดเคลื่อนจากเดิมไปอีกหลายเดือน
ส่วนที่พบแล้วแต่กลับหวังไม่ได้ ก็คือทีมเศรษฐกิจของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ถูกวางตัวให้เป็นคนขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐ ก็ถอย อ้างว่า ไม่ถนัดกับงานการเมือง ไม่สันทัดวางแผนการเลือกตั้ง และไม่ต้องการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เพื่อไปลงเลือกตั้งเต็มตัว ขอช่วยตั้งพรรคอยู่เบื้องหลังจะดีกว่า
เลยทำให้กลยุทธ์การตั้งพรรคพลังประชารัฐต้องปรับแผน เปลี่ยนขุนพลกลางศึก ซึ่งเป็นข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ คือนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ บินไปกินข้าวกับนาย ปรีชา เร่งสมบูรณ์ อดีตส. ส. จังหวัดเลย พรรคเพื่อไทย ถึงรีสอร์ตของนายปรีชา
การเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย และตั้งใจเป็นข่าวของสมศักดิ์กับเพื่อนซี้สุริยะ เป็นการยืนยันเปิดตัว 2 ส. สมศักดิ์ กับ สุริยะได้เข้ามาเป็นขุนพลให้พรรคพลังประชารัฐที่จะนำทัพสู้ศึกเลือกตั้งที่จะมีขึ้นครั้งต่อไปแล้ว
2 ส. เป็นสหายที่คบหากับ ส. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี อย่างแนบแน่นมาตั้งแต่อยู่ใต้ปีกนายทักษิณ ชินวัตร ยุคพรรคไทยรักไทย ร่วมกัน การมาของสมศักดิ์กับสุริยะ จึงมาในสายของสมคิด
ซึ่งมีข้อตกลงว่า สมศักดิ์กับสุริยะจะรับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้งภาคเหนือ และอีสาน ที่จะต้องเฟ้นหาตัวผู้สมัคร ส.ส. เขตให้ได้ตัวระดับเกรดเอ ในพื้นที่อีสานสัก 50-60 เขต เพราะขณะนี้ยังหาคนมาลงเขต แล้วมีหวังชนะพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้
ส่วนข้อแลกเปลี่ยนที่นายสมศักดิ์ยื่นไป ก็คือพรรคพลังประชารัฐจะต้องออกนโยบายให้โดนใจคนอีสาน เพื่อเป็นตัวช่วยผู้สมัครสู้กับเพื่อไทย และหนึ่งในนโยบายที่ต้องมีก็เป็น
นโยบาย “โคล้านตัว” ที่นายสมศักดิ์เป็นคนคิดนโยบายนี้เอง จนทำให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ทักษิณเบี้ยวคนอีสานและสมศักดิ์ ไม่ยอมนำนโยบายมาทำหลังเป็นรัฐบาล
ดังนั้นเรื่องนี้จึงคาใจสมศักดิ์มานาน เมื่อทางคีย์แมนพลังประชารัฐรับข้อเสนอ สมศักดิ์ก็ลุยทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีความแน่ใจกับพลังประชารัฐ แต่วันนี้มาเต็มตัวแล้ว