อัยการยื่นฟ้อง “เปรมชัย” กับพวก คดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิแล้ว บิ๊กอิตาเลียนไทย โดน 6 ข้อหา หลัง อสส. ชี้ขาดเห็นพ้องกับอธิบดีอัยการภาค 7 ไม่ฟ้องเพิ่ม 3 ข้อหา ได้แก่ เข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต นำเครื่องมือล่าสัตว์เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ พยายามล่าสัตว์ป่า (กระรอก)
วันนี้ (30 เม.ย.) ที่สำนักงานอัยการภาค 7 นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 ได้แถลงความคืบหน้า คดี นายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 63 ปี ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับ นายยงค์ โดดเครือ ที่เป็นคนขับรถ, นางนที หรือ เดือน เรียมแสน ที่เป็นแม่ครัว และ นายธานี ทุมมาศ ที่เป็นนายพราน ตกผู้ต้องหาที่ 1 - 4 กรณีเข้าป่าล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี ซึ่งอธิบดีอัยการภาค 7 และคณะทำงาน มีคำสั่งฟ้อง 6 ข้อหา ไม่สั่งฟ้อง 5 ข้อหา ต่อมาผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 มีความเห็นแย้งควรฟ้อง 3 ข้อหา และส่งมาให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาด ว่า ล่าสุด นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด ได้ชี้ขาดความเห็นแย้งดังกล่าวแล้ว โดยมีคำสั่งเห็นพ้องกับคำสั่งของอธิบดีอัยการภาค 7 ที่สั่งไม่ฟ้อง 3 ข้อหา ดังนี้
1. ชี้ขาดไม่ฟ้อง นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาที่ 1 นายยงค์ โดดเครือ ผู้ต้องหาที่ 2 นางนที หรือ เดือน เรียมแสน ผู้ต้องหาที่ 3 และ นายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
2. ชี้ขาดไม่ฟ้อง นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาที่ 1 นายยงค์ โดดเครือ ผู้ต้องหาที่ 2 นางนทีหรือเดือน เรียมแสน ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่า (กระรอก) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต จากพนักงานเจ้าหน้าที่
3. ชี้ขาดไม่ฟ้อง นางนที หรือ เดือน เรียมแสน ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ อัยการจังหวัดทองผาภูมิ ได้ยื่นฟ้อง นายเปรมชัย กรรณสูต กับพวกรวม 4 คน ต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ ในวันนี้เรียบร้อยแล้ว โดยอธิบดีอัยการภาค 7 มีความเห็นสั่งฟ้อง นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 6 ข้อหา คือ 1. ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาต และโดยไม่มีเหตุสมควร 2. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 3. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 4. ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 5. ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำความผิดกฎหมาย และ 6. ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่
ดังนั้น 5 ข้อหาที่อัยการไม่สั่งฟ้อง คือ 1. ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต 2. ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต 3. ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับการใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 4. ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 5. ร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2561 นายเปรมชัย ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อ อธิบดีอัยการภาค 7 ขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานที่อยู่ของนายเปรมชัยฯ ในช่วงวันเวลาเกิดเหตุ พร้อมส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วย และขอให้สอบสวนเจ้าหน้าที่เขตรักษาสัตว์ป่า ทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก 3 คน รวมทั้งให้สอบสวนบุคคลภายนอกและนายวิเชียร ชิณวงษ์ ในประเด็น ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
แต่คณะทำงานและอธิบดีอัยการภาค 7 พิจารณาแล้วเห็นว่า เอกสารที่นายเปรมชัย ส่งมาประกอบ คำร้องขอความเป็นธรรมรวมทั้งการขอให้สอบพยานบุคคลเพิ่มเติมนั้น คณะทำงานและอธิบดีอัยการภาค ๗พิจารณาแล้วเห็นว่าพยานที่อ้างถึงมิใช่พยานที่เกี่ยวข้องในคดี เป็นเพียงผู้ที่แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนเท่านั้น ส่วนพยานที่เกี่ยวข้องตามประเด็นที่นายเปรมชัย ร้องขอความเป็นธรรมนั้นได้มีการสอบสวนพยานดังกล่าวไว้แล้ว คำร้องขอความเป็นธรรมของนายเปรมชัย จึงมีลักษณะเป็นการประวิงคดี ทั้งข้อเท็จจริงตามสำนวนการสอบสวนได้ความครบถ้วนแล้ว จึงไม่จำต้องสอบสวนเพิ่มเติมตามประเด็นที่นายเปรมชัยฯ ร้องขอความเป็นธรรม