บก.ปปป.หอบสำนวนคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อต 3 เพิ่มเติมอีก 7 สำนวน กว่า 4 พันหน้า ส่ง ป.ป.ช. เผยมีพระผู้ใหญ่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 2 รูป สรุปล็อต 3 ฆราวาสเกี่ยวข้อง 20 คน พระผู้ใหญ่ 7 รูป รวมความเสียหายกว่า 140 ล้านบาท
วันนี้(23 เม.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ รองผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นำสำนวนคดีการทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่ 3 ไปยื่นเพิ่มเติมต่อ ป.ป.ช. หลังจากที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมอีก 7 วัด 7 สำนวน เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยในวันนี้ ปปป.ได้นำสำนวนจำนวนประมาณ 4,000 แผ่น 8 แฟ้ม มาส่งให้ ป.ป.ช.
พ.ต.อ.วรายุทธ เปิดเผยว่า สำนวนคดีที่นำมายื่นต่อ ป.ป.ช.วันนี้ เป็นสำนวนจากทุกภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ กลาง อีสาน ใต้ ผู้กระทำผิดเป็นชุดเดียวกันกับล็อตแรกและล็อตที่ 2 มีเพิ่มทั้งฆราวาสที่เป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงานพระพุทธศาสนารายใหม่ด้วย และพระผู้ใหญ่อีก 2 รูป รวมแล้วในล็อตที่ 3 นี้มีพระสงฆ์เกี่ยวข้องทั้งหมด 7 รูป โดยสำนวนที่ได้มาครั้งนี้มีทั้งพยานบุคคลและพยานหลักฐานผสมกัน ซึ่งพยานหลักฐานของพระทั้ง 7 รูปนั้นก็ชัดเจน พฤติกรรมไม่ต่างจากล็อต 1 และ 2
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.วรายุทธปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อของพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่อีก 2 รูป ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในครั้งนี้
ส่วนพฤติกรรมการกระทำผิดเป็นการทุจริตงบประมาณ 3 ส่วน คือ เงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม เงินอุดหนุนบูรณะปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด และเงินอุดหนุนส่งเสริมการเผยแพร่พระศาสนา โดยพฤติกรรมการกระทำความผิดไม่ต่างจากที่ ปปป.ยื่นสำนวนต่อ ป.ป.ช.ก่อนหน้านี้ ซึ่งในส่วนของพระสงฆ์พบพฤติการณ์สนับสนุนเจ้าหน้าที่ทุจริต
ทั้งนี้ เมื่อรวมสำนวนคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่ 3 ปปป.ได้ยื่นสำนวนต่อ ป.ป.ช.ทั้งสิ้น 10 วัด จากที่มีการตรวจสอบ 30 วัด มีพระสงฆ์ถูกกล่าวหาอยู่ในสำนวน 7 รูป และมีเจ้าหน้าที่รัฐและฆราวาสเกือบ 20 คน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 140 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมประมาณเกือบ 100 ล้านบาท
ส่วนกรณีที่มีพระผู้ใหญ่บางรูปอ้างว่าตำรวจไม่เคยไปสอบปากคำหรือขอข้อมูลจากทางวัดแต่ก็แจ้งข้อกล่าวหาแล้วนั้น พ.ต.อ.วรายุทธ กล่าวว่า ไม่ขอชี้แจงอะไร เพราะรายละเอียดอยู่ในสำนวนแล้ว แต่ยืนยันว่ากระทำการโดยบริสุทธิ์และพยานหลักฐานมีเพียงพอ ทั้งนี้ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ ในบางส่วนมีพระสงฆ์สนับสนุน ต้นเรื่องที่แท้จริงไม่ใช่พระสงฆ์แต่เป็นเจ้าหน้าที่