MGR Online - ศาลสั่งจำคุกแก๊ง 7 โจ๋ รุมฟันคอชายพิการ 19 ปี ชดใช้ญาติ 5 แสนบาท ส่วนเพื่อนโดนร่วมสนับสนุน จำคุก 12 ปี
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (26 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณา 813 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีฆ่าชายพิการ หมายเลขดำ อ.2186/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ และนางทองคำ ศรีจันทร์ มารดา โจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายพีรพล หรือ เปา ยศพงศ์อนันต์ อายุ 22 ปี นายอัครเดช หรือ อั๋น ทัศนะ อายุ 23 ปี นายมนต์มนัส หรือ เต้ย แสงโพธิ์ อายุ 22 ปี นายจตุพร หรือ เบียร์ จันทร์โสภา อายุ 19 ปีเศษ นายเมฆ พลไกรษร อายุ 20 ปี นายอรินทร์ หรือ เตอร์ ยศพงศ์อนันต์ อายุ 20 ปี และ น.ส. ณัฐณิชา หรือ เกมส์ ฤทธิ์ล้ำเลิศ อายุ 19 ปีเศษ เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ รวมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธและร่วมกันพกพาอาวุธมีดไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุอันควร
อัยการยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2559 บรรยายพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2559 เวลากลางวัน จำเลยได้ร่วมกันพกพาอาวุธมีด ปลายแหลมยาว 27 นิ้ว , อาวุธมีดหัวตัดยาว 21 นิ้ว และมีดปลายแหลมยาว 6 นิ้ว อย่างละ 1 เล่ม ติดตัวไปในบริเวณ ซอยโชคชัย 4 แยก 69 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม. แล้วบุกรุกเข้าไปบ้านเลขที่ 5 ซึ่งเป็นบ้านของนางธันยชนก ศรีจันทร์ ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นภรรยาของนายสมเกียรติ์ ศรีจันทร์ อายุ 35 ปี ชายพิการ อาชีพส่งขนมปัง ร้าน"ปังหอม" ย่านโชคชัย 4 โดย แล้วร่วมกันใช้อาวุธมีด ฟัน แทง และปาก้อนอิฐตามศีรษะ ร่างกายของนายสมเกียรติ์ซึ่งได้ใช้มีดปลายแหลมยาว 32 นิ้วเข้าต่อสู้ป้องกันตัว เป็นเหตุให้นายสมเกียรติ์ถึงแก่ความตายสมดังเจตนา แล้วพากันหลบหนีไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โชคชัยติดตามจับกุมพวกจำเลยได้พร้อมมีดปลายแหลม 2 เล่ม อิฐบล็อก ขนาด 4 คูณ 10 นิ้ว 1 ก้อน เสื้อเชิ้ตกับยังได้เอามีดยาว 32 นิ้วที่นายสมเกียรติ์ใช้ต่อสู้ป้องกันตัว ไว้เป็นของกลางดำเนินคดี
โดยพวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่สู้คดีมาโดยตลอด และศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งหมดมารจากเรือนจำมาฟังคำพิพากษา ส่วนนางทองคำ ศรีจันทร์ มารดาของนายสมเกียรติ โจทก์ร่วม นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ และญาติก็ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา
นายอนันต์ชัย เปิดเผยก่อนฟังคำพิพากษาว่า ผ่านมานานกว่า 1 ปี จากการนำสืบพยานผู้ต้องหาทั้งหมดไม่เคยแสดงความรับผิดชอบกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและยังคงปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่จากการสืบพยานทำให้ทราบว่ามีจำเลย 4 คนที่ก่อเกตุ ส่วนที่เหลือพบว่าไม่ได้เข้าไปร่วมก่อเหตุ เพราะเหตุที่เกิดต่างกรรมต่างวาระ ก็แล้วแต่กระบวนการยุติธรรมของศาลที่จะใช้ดุลพินิจในการตัดสิน แต่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตก็หวังว่าผู้ที่ก่อเหตุจะได้รับโทษ แต่ก็พร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาล
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายที่นำสืบโดยละเอียดแล้วเห็นว่า คดีนี้มีพยานบุคคล พยานวัตถุภาพถ่ายภาพเคลื่อนไหว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นพยานหลักฐานมั่นคง มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ สอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความพยานโจทก์ 6 ปาก ว่าเป็นการเบิกความตามจริงโดยขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเช้า เวลา 8 .00 น - 9.00 น. มีแสงสว่างเพียงพอ รวมทั้งมีกล้อง CCTV ของกรุงเทพมหานครและภาพจากกล้องมือถือจากพยานซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายใดเชื่อว่า พยานโจทก์เบิกความไปตามจริง โดยประจักษ์พยานเห็นว่าจำเลยที่ 1, 2, 3 และ6 ได้ร่วมกันรุมทำร้ายผู้ตาย โดยจำเลยที่ 1 ,2 ,3 ร่วมกันใช้มีดพันเข้าที่ใต้แขนซ้าย ด้านหลังและหัวผู้ตาย อย่างต่อเนื่องจนผู้ตายถอยล่น โดยมีจำเลยที่ 6 ปาหินผู้ตาย ซึ่งผู้ตายได้ใช้มีดที่ทำขนมปังกวัดแกว่งเพื่อต่อสู้ไปโดนข้อมือจำเลยที่ 1 จากนั้น กลุ่มจำเลยจึงสับเปลี่ยนอาวุธมีด สลับปาก้อนหินก้อนอิฐรุมใส่จำเลยอย่างต่อเนื่องจนผู้ตายมีบาดแผลแตกที่ศรีษะ จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมากลุ่มผู้ตายยังไม่หยุด หลังจากนั้นโดย 1ในจำเลยที่ใช้มีดแทงเข้าที่บริเวณลำคอผู้ตายจนเป็นสาเหตุร่วมกันบาดแผลที่ศีรษะผู้ตายที่ลึกถึงสมองทำให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งระหว่างที่มีการรุมทำร้ายผู้ตายนั้นจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นผู้หญิงที่นั่งแท๊กซี่ตามมาที่หลังได้เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ผู้ตายจะเสียชีวิตแม้จำเลยที่ 7 ไม่ได้มีส่วนร่วมลงมือทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่มีการตะโกนว่า “เอามันเลย เอามันให้ตาย” สาเหตุ เนื่องจากความไม่พอใจที่จำเลยที่ 1 ถูกมีดผู้ตายที่แขนซ้าย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ผู้ตายจะล้มลงเสียชีวิต การกระทำของจำเลยที่ 7 จึงเป็นการให้กำลังใจสนับสนุนให้เกิดการกระทำผิดเกิดขึ้น ส่วนจำเลยที่ 4 และ 5 แม้จะไม่ได้เข้าร่วมทำร้ายผู้ตายแต่จากพยานหลักฐานภาพถ่ายนั้นจำเลยทั้งสองรับรู้การกระทำของกลุ่มจำเลยที่ลงมือทำร้ายอีกทั้งลักษณะท่าทางการเดินตามกลุ่มผู้ก่อเหตุในเหตุการณ์มีการยกมือแสดงออกสัญลักษณ์มาโดยตลอด ทั้งตอนที่จำเลยที่ 6 โทรศัพท์เรียกพวกมา จำเลยที่ 5 ที่อยู่ใกล้กันก็ย่อมรู้ถึงเหตุการณ์ในการกระทำดังกล่าวและผลที่จะเกิดขึ้นจำเลยที่ 4 และ5 ย่อมมีส่วนรู้เห็นในการกระทำของจำเลยที่ทำร้ายผู้ตาย ย่อมเป็นการเข้าข่ายกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเช่นกัน ตามพฤติการณ์แล้วศาลเห็น พวกจำเลยทั้งเจ็ด กระทำผิดจริง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม
พิพากษาความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุกจำเลยที่ 1 ,2 ,3 และ 6 คนละ 18 ปี ฐานบุกรุกเข้าไปในเคหะสถาน ผู้อื่น จำคุกจำเลยที่ 2, 4, 5 และ6 คนละ 1 ปี ฐานช่วยเหลืออำนวยความสะดวก จำคุกจำเลยที่ 4 , 5 และ 7 คนละ 12 ปี ฐานข้อหาพกพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรสั่งปรับ จำเลยที่ 1 - 6 คนละ 1,000 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 18 ปี ปรับคนละ 1,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และ 6 รวมโทษจำคุกคนละ 19 ปี ปรับคนละ 1,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 4จำคุก 13 ปีและจำเลยที่ 5 และ 7 จำคุกคนละ 12 ปี ปรับจำเลยที่4-5 คนละ 1,000 บาท และให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชดใช่ค่าเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดและค่าอุปการะแก่โจทก์ร่วมซึ่งเป็นแม่ผู้เสียหาย 3 แสน 6 หมื่นบาท และค่าปลงศพ 1แสน 4หมื่นบาทรวมในวงเงินเต็มทั้งหมด 5 แสนบาท สัดส่วนตามพฤติการณ์ของจำเลย แต่ละคน
ภายหลัง นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความกล่าวว่า คดีนี้ตนเอง ชี้แจงตั้งแต่ต้นแล้วว่า พฤติการณ์ ของกลุ่มจำเลยเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ พนักงานสอบสวน กลับไม่แจ้งข้อหานี้ ตั้งแต่ต้น ทำให้ กลุ่มจำเลยได้รับโทษ น้อยกว่า ที่ควร แต่ทั้งนี้ ก็น้อมรับในคำพิพากษาของศาล และเตรียมที่จะอุทธรณ์ คดี ในประเด็นของอัตราโทษ ที่น้อยเกินไป อยากให้ศาลมีการเพิ่มโทษให้มากกว่านี้
ด้าน นางทองคำ ศรีจันทร์ มารดาของนายสมเกียรติ ผู้ตาย กล่าวขอบคุณที่ศาลตัดสินให้ความเป็นธรรม และจากนี้ จะหารือ กับญาติ ว่า จะฌาปนกิจ นายสมเกียรติในวันใด เพราะตั้งใจไว้ว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาคดีแล้วจึงจะกำหนดวันเผาศพของนายสมเกียรติต่อไป
นายคมเพชร จันทร์ปุ่ม ทนายความฝ่ายจำเลย กล่าวว่า ตนเคารพคำพิพากษา แต่จะศึกษาคำพิพากษาเพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อ เพราะยังมีหลายข้อที่เรายังเห็นไม่ตรงกับคำพิพากษา อย่างจำเลยบางคนที่เห็นว่าไม่น่าจะมีส่วนร่วมในการกระทำ แต่ศาลก็พิพากษาลงโทษ