xs
xsm
sm
md
lg

อ่วมนักเพาะกายเมาซิ่งบิ๊กไบค์ กร่างบุกป้อมด่าดาบตำรวจ เจอ 7 ข้อหา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - หนุ่มนักเพาะกายเมาซิ่งบิ๊กไบค์ไม่สวมหมวก กร่างบุกป้อมด่าดาบตำรวจแยกศาลาแดง ตำรวจแจ้ง 7 ข้อหา ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา

จากกรณีโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปภาพวิดีโอเหตุการณ์ของชายหนุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์บิ๊กไบค์ ไม่สวมหมวกกันน็อก อยู่ในอาการมึนเมา พร้อมทั้งบิดคันเร่งเบิ้ลเครื่องยนต์เป็นระยะ ก่อนชูนิ้วกลางและต่อว่าตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ภายในป้อมจราจรบริเวณแยกศาลาแดง โดยมีหญิงสาวซ้อนท้ายคอยห้ามปรามถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ความยาวกว่า 5 นาที จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมไปต่างๆ นานา

ภายหลังทราบชื่อผู้ขับขี่คือ นายเมฆินทร์ อายุวัฒนมงคล อายุ 34 ปี นักเพาะกาย และนายแบบ โดยเหตุการณ์ที่ปรากฏในคลิปเกิดขึ้นเมื่อเวลา 07.00 น.ของวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมี ด.ต.ปวิช บุญมาสูงทรง ผู้บังคับหมู่จราจร สน.ทุ่งมหาเมฆ คู่กรณีซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสัญญาณไฟจราจรอยู่ภายในป้อมและเป็นผู้ถ่ายคลิปวิดีโอดังกล่าว

วันนี้ (30 พ.ย.) ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รรท.รอง ผบ.ตร.ได้เดินมาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาต่อนายเมฆินทร์ ในข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา ไม่สวมหมวกนิรภัย ผู้ซ้อนท้ายไม่ใส่หมวกนิรภัย ปิดบังส่วนหนึ่งส่วนใดของป้ายทะเบียน ส่งเสียงสร้างความเดือดร้อนรำคาญโดยไม่มีเหตุอันควร ดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และบุกรุกเข้าห้องควบคุมสัญญาณไฟจราจรซึ่งไม่ใช่ที่ให้บริการประชาชน อันเป็นการรบกวนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ รวม 7 ข้อหา

โดย พล.ต.อ.วิระชัยกล่าวว่า จากการตรวจสอบนายเมฆินทร์ไม่พบสารเสพติดในร่างกาย รวมทั้งไม่พบประวัติการกระทำความผิด พร้อมฝากเตือนประชาชนว่าการบุกรุกเข้ามาในลักษณะดังกล่าวถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หากมีการพกพาอาวุธมาด้วย เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการป้องกันตัวตามสมควรแก่เหตุได้ ขณะเดียวกัน ได้กล่าวชื่นชม ด.ต.ปวิช ที่ใช้ความสุขุมรอบคอบในการปฏิบัติต่อบุคคลที่เมาสุราเพื่อไม่ให้เกิดเหตุลุกลามบานปลาย

ด้าน ด.ต.ปวิชเล่าว่า ขณะปฏิบัติหน้าที่พบนายเมฆินทร์มีพฤติกรรมคล้ายเมาสุรา ไม่สวมหมวกนิรภัย จึงขอดูใบอนุญาตขับขี่ แต่ขณะนั้นกำลังควบคุมสัญญาณไฟจราจร จึงเดินกลับเข้ามาในป้อม นายเมฆินทร์ไม่พอใจจึงใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อว่าตามที่ปรากฏเป็นคลิป แต่อย่างไรก็ตาม ตนเองเชื่อว่านายเมฆิทร์กระทำการดังกล่าวเพราะเมาสุรา หากมีสติครบถ้วนก็ไม่น่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

ขณะที่นายเมฆินทร์ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมกล่าวว่าขณะเกิดเหตุตนเองยังคงรู้สึกตัว แต่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เพราะเมาสุรา จากนั้นได้กล่าวขอโทษดาบตำรวจปวิชที่กระทำการดังกล่าว และยืนยันว่าหากดื่มสุราจะไม่ขับขี่ยานพาหนะอีก

ที่ศาลแขวงปทุมวัน ถ.พระราม 4 พนักงานอัยการคดีศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) ได้นำตัวนายเมฆินทร์ จำเลย ในความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2552 , พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 370 ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และผู้ใดส่งเสียง กระทำการอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควรจนทำให้ประชาชนตกใจเดือดร้อน ภายหลังมีการเผยแพร่คลิปในสื่อโซเชียลมีเดียปรากฏภาพ นายเมฆินทร์ขี่จักรยานยนต์บิ๊กไบค์ซึ่งมีลักษณะคล้ายมึนเมา ชูนิ้วกลางและด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณป้อมตำรวจสี่แยกศาลาแดง

โดยพนักงานอัยการระบุฟ้องด้วยวาจา เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1059/2560 จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงตามฟ้องและคำรับสารภาพ รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2560 เวลากลางวัน จำเลยได้ขี่จักรยานยนต์บิ๊กไบค์หมายเลขทะเบียน 2 กธ 2669 กทม.มาตามถนนพระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ขณะเมาสุรา ในลักษณะไม่สามารถครองสติได้ โดยตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ 213 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งกฎหมายกำหนดห้ามมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และจำเลยไม่สวมหมวกนิรภัย (หมวกกันน็อก) ป้องกันอันตราย โดยมีผู้นั่งซ้อนท้ายมาด้วย และผู้ที่โดยสารมาก็ไม่ได้สวมหมวกนิรภัย ขณะที่รถนั้นไม่ได้ติดป้ายทะเบียนให้เห็นโดยง่ายตามกฎกระทรวง หลังเกิดเหตุ ด.ต.ปวิธ บุญมาสูงทรง ผู้เสียหายที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้านการจราจรประจำแยกศาลาแดง แขวงลุมพินี พบจำเลยนั่งคร่อมจักรยานยนต์จึงขอตรวจสอบใบขับขี่ แต่จำเลยกลับดูหมิ่น ด่าทอผู้เสียหายด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมชูนิ้วกลางให้ผู้เสียหายถึง 9 ครั้ง และยังชี้หน้าผู้เสียหายอีกพร้อมกล่าวถ้อยคำหยาบคายสบประมาท เหยียดหยามเจ้าพนักงานอีกด้วย ก่อนที่จำเลยจะได้บิดเร่งเครื่องจักรยานยนต์จนทำให้เกิดเสียงดัง เหตุเกิดที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม.

ศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามฟ้อง ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 43 (2), 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง, 148 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 160 ตรี, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 370 และ พ.ร.บ.รถยนต์ฯ มาตรา 5 (4), 11, 60 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จึงพิพากษาให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 6,000 บาท ฐานขับรถขณะเมาสุรา, จำคุก 2 เดือนปรับ 2,000 บาท ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานฯ, ปรับ 400 บาท ฐานไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่ฯ, ปรับ 800 บาท ฐานขี่จักรยานยนต์ขณะผู้โดยสารไม่สวมหมวกนิรภัย, ปรับ 2,000 บาท ฐานไม่แสดงแผ่นป้ายทะเบียนให้ครบถ้วน และปรับ 800 บาท ฐานทำให้เกิดเสียงดังฯ รวมโทษจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 4 เดือน และปรับรวม 12,000 บาท

โดยจำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จึงจำคุกจำเลย 2 เดือน และปรับ 6,000 บาท และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แล้วจำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้กำหนด 2 ปี โดยให้คุมประพฤติจำเลยด้วย ให้จำเลยเข้ารายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ในเวลา 1 ปี และให้จำเลยทำงานบริการสังคมตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมงภายในกำหนด 1 ปี รวมทั้งให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยด้วยมีกำหนด 6 เดือน


กำลังโหลดความคิดเห็น