MGR Online - ป.ป.ส.ร่วมภาครัฐและภาคเอกชน 6 หน่วยงาน หารือผู้ประกอบการรับฝากพัสดุภัณฑ์ หรือผู้รับจ้างขนส่งสินค้าให้ความใส่ใจ เฝ้าระวังการขนยาเสพติด ชี้ต้นทางส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ส่งลงไปยังกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคใต้
วันนี้ (18 ต.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายวิชัย ไชยมงคล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “แนวทางการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบกิจการขนส่งสินค้าหรือพัสดุภัณฑ์” โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนจากกรมการขนส่งทางบก, กรมศุลกากร, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, การรถไฟแห่งประเทศไทย, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, บริษัท ขนส่ง จำกัด เพื่อให้เจ้าของหรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบการการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ภาคเอกชนรวมถึงรัฐวิสาหกิจและผู้เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงปัญหาการลักลอบขนส่งยาเสพติด เข้าใจขบวนการในการลักลอบลำเลียงหรือขนส่งยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ และมีส่วนร่วมในการสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยาเสพติด ส่งเสริม และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของชาติ อีกทั้งเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการให้แก่เจ้าของหรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบการขนส่งสินค้าหรือพัสดุภัณฑ์ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ
การประชุมครั้งนี้สืบเนื่องจากสำนักงาน ป.ป.ส.ได้ร่วมลงนามใน “บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการขนส่ง” กับกรมการขนส่งทางบก, กรมศุลกากร, การรถไฟแห่งประเทศไทย, บริษัท ขนส่ง จำกัด และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รวม 6 หน่วยงาน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและเตรียมการในการป้องกันมิให้สถานประกอบการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ถูกใช้เป็นช่องทางในการลักลอบลำเลียงยาเสพติด รวมไปถึงการให้ความร่วมมือที่จะเผยแพร่สื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงโทษและพิษภัยของยาเสพติด ผ่านช่องทางสื่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลสถานประกอบการดังกล่าว ทั้งบนรถโดยสารประจำทาง สถานีขนส่งผู้โดยสาร หรือสถานีรถไฟทั่วประเทศ ผลจากบันทึกข้อตกลงดังกล่าวนำไปสู่ความร่วมมือในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อการป้องกันมิให้สถานประกอบการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ถูกใช้เป็นทางในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดและได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดีในการเข้าตรวจสอบการลักลอบส่งยาเสพติดผ่านช่องทางดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการตรวจสอบสถานประกอบการของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส.พบว่า เจ้าของหรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบการบางรายยังมีการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเลขาธิการ ป.ป.ส. ได้มีหนังสือตักเตือนเจ้าของหรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบการเหล่านั้นไปแล้ว โดยสถิติการจับกุมคดีรายสำคัญที่มีการลักลอบขนส่งผ่านไปรษณีย์และขนส่งเอกชน ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2559 - 30 ก.ย. 2560 สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดดำเนินคดี 19 คดี ผู้ต้องหา 47 ราย ได้ของกลางยาบ้า 2 ล้านเม็ด ไอซ์ 13 กิโลกรัม กัญชา 490 กิโลกรัม และยาเสพติด อื่นอีกหลายรายการ
นายวิชัยกล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการลักลอบขนส่งยาเสพติดไปกับรถยนต์โดยสารสาธารณะ ผ่านผู้ประกอบกิจการขนส่งสินค้าหรือพัสดุภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ยาเสพติดที่น่าเป็นห่วงมาก และต้นทางส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ส่งลงไปยังกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคใต้ โดยการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการขนส่งสินค้า หรือพัสดุภัณฑ์ในครั้งนี้ ต้องการให้เจ้าของหรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบการขนส่งสินค้า หรือพัสดุภัณฑ์และผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงปัญหาและได้มีส่วนร่วมในการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงและส่งยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ รวมถึงชุมชนและหมู่บ้านให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“มีความจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการรับฝากพัสดุภัณฑ์ หรือผู้รับจ้างขนส่งสินค้าให้ความใส่ใจ สังเกตสินค้าที่รับฝากหากพบเบาะแสยาเสพติดต้องแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่รัฐทราบโดยเร็ว เพื่อร่วมกันหามาตรการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างทันเหตุการณ์ พบเห็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด สามารถแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน ป.ป.ส. โทร. 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง” รองเลขาธิการ ป.ป.ส.กล่าว