xs
xsm
sm
md
lg

ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน-ไต้หวันในพื้นที่ กทม.3 จุด เหยื่อสูญเงินกว่า 60 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - ปปง.-กองปราบปราม-ดีเอสไอ-ภาค 6 แถลงผลร่วมกันกวาดล้างเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน-ไต้หวันในพื้นที่ กทม.3 จุด หลอกเงินเหยื่อเสียหายกว่า 60 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาได้ 8 ราย

วันนี้ (12 ต.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.30 น. พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ รอง ผบก.ป. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร ภาค 6 สำนักงานอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปปง. กรมสรรพากร และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เอ็มเจไอบี (MJIB) ประเทศไต้หวัน ร่วมกันแถลงผลการจับกุมตัวผู้ต้องหาเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 8 คน ประกอบด้วย นายฟาง ยางเส็ง อายุ 50 ปี สัญชาติจีน, นางอาหลิน ชาวไต้หวัน, นายอนุรุทย์ เพิ่มทวีทรัพย์ อายุ 29 ปี, น.ส.พรรณปพร ศรีอ่อนดี อายุ 24 ปี, น.ส.สมพร ชูช่วย อายุ 39 ปี, น.ส.กุลวดี ฉิมเพ็ชร, น.ส.ดารานาถ ยังดีเลิศ, น.ส.รัตนา เกษสุพรรณ์ ชาวไทย ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ได้ร่วมบูรณการกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในพื้นที่ กทม.จำนวน 3 จุด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ประกอบด้วย 1. บริษัท โกลเด้น-ริช-แทรเวล จำกัด เลขที่ 603/13 ถ.นวลจันทร์ แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม 2. บริษัท จีทีอาร์ แทรเวล แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด เลขที่ 538 อาคารแกรนด์ ชั้น 9 ถ.รัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง 3. บริษัท ยู.วี.ที. แทรเวล แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด เลขที่ 538 อาคารแกรนด์ ชั้น 9 ถ.รัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง

พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ก่อเหตุใช้โทรศัพท์หลอกลวงเอาเงินจากเหยื่อซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก โดยพฤติการณ์ของมิจฉาชีพกลุ่มนี้จะมีการอ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ดีเอสไอ ปปง. ตำรวจกองปราบปราม ฯลฯ จากนั้นก็จะพูดจาข่มขู่หลอกผู้เสียหายว่าเข้าไปมีส่วนพัวพันในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือการฟอกเงิน ก่อนจะเรียกรับเงินจากผู้เสียหายเพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดีหรือตรวจสอบ อีกทั้งมิจฉาชีพเหล่านี้มักจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา อาทิ มีการใช้แอปพลิเคชันไลน์ ของหน่วยงานรัฐในการสร้างความน่าเชื่อถือ เวลาที่ติดต่อไปหาเหยื่อ โดยจะใช้หลักจิตวิทยาในการทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวมาเป็นจุดอ่อนในการก่อเหตุ

พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่าตั้งแต่ปี 2553 ที่ผ่านมามีผู้เสียหายหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อถูกหลอกจากมิจฉาชีพกลุ่มนี้จำนวนหลายราย มีการแจ้งดำเนินคดีความแล้วจำนวน 64 คดี ในพื้นที่ กทม. สมุทรปราการ เชียงใหม่ สงขลา ภูเก็ต นครราชสีมา ลำปาง สระแก้ว มูลค่าความเสียหายประมาณ 60 กว่าล้านบาท สำหรับฐานการกระทำความผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้จะอยู่ในพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และไต้หวัน ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่มีลักษณะการทำงานเป็นเครือข่ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำงานหลายส่วน มีผู้กระทำความผิดที่อยู่ทั้งในไทยและนอกราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่จึงได้เร่งทำการรวบรวบพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลออกหมายจับผู้กระทำผิดจำนวน 49 ราย แบ่งเป็นชาวไทย 20 ราย โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้เปิดบัญชี ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีน

พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์กล่าวอีกว่า จากการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 จุดที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 8 ราย พร้อมกับตรวจยึดเอกสารหลักฐานต่างๆ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มาทำการตรวจสอบหาความเชื่อมโยงไปยังผู้กระทำผิดรายอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับหัวหน้าขบวนการของมิจฉาชีพกลุ่มนี้จากการสืบสวนทราบตัวแล้วว่าเป็นใคร แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในส่วนนี้ได้ เกรงว่าจะมีผลต่อรูปคดี ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 8 รายที่ถูกจับกุมตัวได้นั้น เบื้องต้นจากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และรับว่ามีการโอนเงินกันเข้ามาจริง แต่ไม่ทราบว่าเงินดังกล่าวนั้นโอนมาจากที่ใด อย่างไรก็ตามอยากฝากถึงผู้ที่รับจ้างเปิดบัญชีให้กับกลุ่มมิจฉาชีพเพื่อนำไปใช้ในการกระทำความผิดนั้นด้วยว่า หากพบว่ามีการกระทำดังกล่าวจริงก็จะถือเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยเช่นกัน โดยจะถูกดำเนินคดีในฐานฟอกเงิน มีอัตราโทษ จำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20.000 บาท จนถึง 200,000 บาท

“อยากฝากไปถึงสถาบันทางการเงินต่างๆ ให้ช่วยตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ที่มาเปิดบัญชีจำนวนหลักร้อยแต่มีเงินเข้าหลักแสนหลักล้านแล้วเจ้าของบัญชีรีบถ่ายโอนเงินออกไป ขอให้ช่วยแจ้งข้อมูลมายัง ปปง.ให้ช่วยตรวจสอบ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องปราบการกระทำความผิดของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้” พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์กล่าว และว่าขณะเดียวกัน ปปง.ยังได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการฟอกเงินเพื่อจะได้นำเงินที่ได้มาจากการก่อเหตุเหล่านี้ไปเยียวยาผู้เสียหายต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่มบริษัทที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้นเมื่อช่วงเช้านั้น พบว่ามีการตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการฟอกเงินที่หลอกลวงผู้เสียหายมา ส่วนใหญ่ทำธุรกิจการท่องเที่ยวและจัดส่งคนงานไปทำงานที่ไต้หวัน โดยเมื่อแรงงานไทยที่ถูกส่งไปทำงานโอนเงินค่าจ้างมาให้พ่อแม่ที่ประเทศไทยผ่านทางบริษัทดังกล่าว ทางบริษัทก็จะเก็บเงินสกุลดอลล่าร์ไต้หวันไว้ แล้วจ่ายเงินสกุลบาทไทยที่ได้จากการหลอกลวงเหยื่อให้แก่พ่อแม่ของแรงงานแทน


กำลังโหลดความคิดเห็น