xs
xsm
sm
md
lg

พ่อแม่ “น้ำมนต์” ตัดพ้อ ไปงานแต่งลูกสาวแค่ 4 ครั้ง ไม่เห็นเงินสินสอดสักบาท แต่กลับถูกด่าทั้งตระกูล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - พ่อแม่ “น้ำมนต์” เข้าให้ปากคำตำรวจแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยันไปงานแต่งลูกสาวแค่ 4 ครั้ง ไม่รู้เห็นเงินสินสอดสักบาท งานแต่งเป็นเรื่องของการสมยอม เมื่อฝ่ายชายมาสู่ขอบุตรสาวก็ไปในฐานะสักขีพยาน แต่กลับถูกด่าทั้งตระกูล



วันนี้ (12 ก.ย.) ที่กองปราบปราม นายบุญเลี้ยง บัวใหญ่ อายุ 72 ปี และนางสำรอง บัวใหญ่ อายุ 69 ปี พ่อและแม่ของ น.ส.จริยาภรณ์ หรือน้ำมนต์ บัวใหญ่ อายุ 32 ปี ชาว จ.เลย ที่ก่อเหตุตีสนิทชายหนุ่มทางเฟซบุ๊กแล้วติดต่อคบหากันจนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ก่อนจะหลอกให้แต่งงานแล้วเชิดเงินสินสอดหลบหนีไป เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป.เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุตรสาวแต่อย่างใด

นายบุญเลี้ยงกล่าวว่า เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน บก.ป.ในครั้งนี้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนกรณีการจัดงานแต่งงานระหว่างผู้เสียหายกับบุตรสาวนั้นเป็นเรื่องของทางฝ่ายชายที่มาสู่ขอบุตรสาว มีการนัดหมายวันกันเพื่อจะเตรียมการจัดงาน ตนกับภรรยา ไม่ได้เป็นคนเรียกสินสอด หรือเรียกร้องใดๆ เพียงแต่เป็นสักขีพยานตามประเพณีเท่านั้น ที่ผ่านมาก็เคยถามจากบุตรสาวว่าทำไมจะจัดงานแต่งงานใหม่ เขาก็บอกเพียงว่าได้เลิกกับผู้ชายคนเก่าไปแล้วเพราะอยู่กันไม่ได้

นายบุญเลี้ยงกล่าวต่อว่า ส่วนที่บุตรสาวจัดงานแต่งงานหลายครั้งตนก็ไม่ได้ติดใจสงสัย หรือซักไซ้ไล่เรียงเพราะเห็นว่าเขาก็โตแล้ว การตัดสินใจต่างๆ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของบุตรสาว อายุเขาก็ 30 กว่าแล้ว จึงไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวอะไรเรื่องความรักของเขา ให้ตัดสินใจเอง เขาสมยอมกันจะจัดงานแต่งงาน ในฐานะที่เราเป็นผู้ปกครองก็ต้องรับรู้ในฐานะเป็นพ่อเมื่อฝ่ายชายมาสู่ขอบุตรสาว

นายบุญเลี้ยงกล่าวอีกว่า ส่วนเงินทองเขาให้กันวันไหนก็ไม่เคยรู้ เมื่อจัดงานแล้วก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย แต่เท่ารู้คือเขาเอาเงินไปลงทุนค้าขายผลไม้กัน ยืนยันว่าไม่เคยเรียกสินสอดใดๆ ทุกอย่างเขาจัดการกันเอง ตนก็อยู่ไกล แค่วันจัดงานแต่งงานก็มาร่วมพิธีการ มานั่งอยู่ด้วย แต่เวลามีข่าวออกไปก็เหมือนตนถูกด่าฟรี ถูกด่าทั้งตระกูลว่าโกงเขา มันก็น่าเกลียด จึงอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจเข้ามาพบตำรวจว่าไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับเงินสินสอด เขาจะให้กันอย่างไร เพราะเสน่หาหรือไม่ก็ไม่รู้

“ผมเป็นตาสีตาสาหาเช้ากินค่ำ ทำสวนผักขายเล็กๆ น้อยๆ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เรื่องเงินทองนี่ตรวจสอบได้เลย ยินดีให้ข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านมาผมกับภรรยาได้ร่วมงานแต่งงานของบุตรสาว 4 ครั้งเท่านั้น ก่อนจะไปร่วมงานก็ไม่ใช่ไปส่งเดช พ่อแม่ของฝ่ายชายเขามาหาถึงบ้าน ญาติเขาก็มาอย่างนี้ เขาก็นัดหมายจัดงานกัน เรื่องการเตรียมงานต่างๆ เขาก็จัดกันเอง ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา อย่างไรก็ตาม จำไม่ได้ว่าผู้ชายที่เคยมาสู่ขอบุตรสาวมีใครบ้าง แค่ไปร่วมงานแล้วก็กลับ” นายบุญเลี้ยงกล่าว

นายบุญเลี้ยงกล่าวด้วยว่า งานแต่งงานทั้ง 4 ครั้งนั้นจัดงานห่างกันพอสมควร อาจเพราะบุตรสาวมีโอกาสคบหากับผู้ชายหลายคน เมื่อเลิกรากับคนเก่าไปก็มาคบกับคนใหม่ เวลาที่เขาคบกันเป็นแฟนก็ไม่เคยพามาทำความรู้จัก อีกอย่างเพราะอยู่กันคนละจังหวัดด้วยก็ไม่สะดวกที่จะได้พบกัน ตนทำไร่ทำนาไม่รู้เรื่องอะไร แต่พอมีข่าวออกมาก็รู้สึกตกใจ แต่ละครั้งที่จัดงานแต่งงานก็ห่างกันไม่ได้ติดกัน มีเพียงครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บุตรสาวจัดงานแต่งงาน 2 ครั้งแล้วบอกตน เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายชายมาด้วย ตนก็ต้องไปงานในฐานะเป็นพ่อ แล้วถ้าจะมองว่าตนผิดก็ต้องผิดทั้งสองฝ่ายที่ตกลงใจให้ลูกได้แต่งงานกัน

นายบุญเลี้ยงกล่าวอีกว่า เรื่องที่บุตรสาวไปใช้ชื่อ น.ส.สร้อยเพชร พาลีวัลย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวนั้น ตนก็ไม่ทราบ เพราะอยู่กันคนละที่ ตนไม่ทราบเรื่องการกระทำของบุตรสาวเลย รวมทั้งกรณีการเปลี่ยนบัตรประชาชน หรือเรื่องการเปิดบัญชีธนาคารต่างๆ ขอยืนยันว่าไม่ทราบเรื่อง

ด้าน พ.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า เมื่อทางนายบุญเลี้ยง และนางสำรอง บิดาและมารดาของ น.ส.จริยาภรณ์ มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำของบุตรสาว เราก็จะมีการสอบปากคำไว้ในเบื้องต้นก่อน ส่วนพยานหลักฐานต่างๆ ก็ต้องมีการตรวจสอบภายหลังการสอบปากคำเนื่องจากยังไม่ได้สอบปากคำจนได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน หลังจากนี้ก็จะพิจารณาว่ายังมีพยานบุคคลใดที่จะต้องสอบเพิ่ม เนื่องจากกรณีนี้ทาง พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.และทาง พล.ต.ต.สุทิน ผบก.ป.ให้ความสำคัญ เพื่อดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย จึงต้องทำอย่างรัดกุม รอบด้านที่สุด

พ.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวอีกว่า ในส่วนของการประสานไปยังตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์นั้น เมื่อมีการสอบปากคำผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ก็จะส่งให้ตำรวจท้องที่ หากมีประเด็นอะไรเพิ่มเติมก็จะต้องเรียกมาสอบอีกครั้ง สำหรับกรณีที่นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความ ได้พาผู้เสียหายเพิ่มเติมเข้าแจ้งความนั้นก็ต้องมีการสอบปากคำก่อน โดยขณะนี้ยังไม่พบว่ามีพยานหลักฐานอื่นมากเพียงพอที่จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจากข้อหาเดิมกับ น.ส.จริยาภรณ์ รวมทั้งกรณีของ น.ส.สร้อยเพชรด้วย เราก็ต้องให้ความเป็นธรรม ไม่ใช่แค่ว่ามีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ใช้กระทำผิด แล้วจะต้องถูกดำเนินคดี




กำลังโหลดความคิดเห็น