xs
xsm
sm
md
lg

“สรยุทธ” นอนคุกยาว ศาลชี้คดีต้องห้ามฎีกา ยกคำร้องประกันตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - ศาลฎีกายกคำร้อง “สรยุทธ” กับพวก จำเลยยักยอกเงินค่าโฆษณาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 อสมท หลังจำเลยยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์คนละ 4 ล้าน ขอประกันตัวสู้คดี ชี้คดีต้องห้ามฎีกา

วันนี้ (29 ส.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกาได้มีคำสั่งการประกันตัวถึงศาลอาญาทุจริตฯ ที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อดีตพิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง เจ้าหน้าที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด กับอดีตพนักงาน บมจ.อสมท ตกเป็นจำเลยยักยอกเงินค่าโฆษณาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 อสมท กว่า 138 ล้านบาท และศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 13 ปี 4 เดือน โดยจำเลยได้ยื่นคำร้องหลักทรัพย์คนละ 4 ล้านบาท เพื่อขอประกันตัวสู้คดีในชั้นฎีกา

โดยนายมนต์อนันต์ เรืองจรัส ทนายความของนายสรยุทธ และคณะได้เข้าฟังคำสั่งของศาลฎีกา ทั้งนี้ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำร้องและหลักทรัพย์ในการประกันตัวของจำเลยแล้วเห็นว่าคดีต้องห้ามฎีกา ในชั้นนี้จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวพวกจำเลย ยกคำร้อง

สำหรับการยื่นคำร้องประกันตัวใหม่นั้น จำเลยทั้งสามสามารถยื่นได้ในเวลาต่อไปจนกว่าคดีจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหลักออกมา เพียงแต่การยื่นคำร้องใหม่นั้นจำเลยจะต้องระบุเหตุและข้อเท็จจริงใหม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมของศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูง

ผู้สื่อข่าวรายงานสำหรับเหตุผลที่ศาลฏีกามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวในชั้นนี้ เนื่องจากคดีต้องห้ามฏีกาในข้อเท็จจริง ตามหลักของประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 บัญญัติว่าในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี โทษปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ ห้ามมิให้คู่ความฏีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ซึ่งคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษ 6 กระทงๆละ 5 ปี นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงาน บมจ.อสมท จำกัด ส่วนนายสรยุทธ และนางสาวมณฑา ธีระเดช พนักงานบริษัทไร่ส้ม จำคุก 6 กระทงๆ ละ 3 ปี 4 เดือน ซึ่งหากจะยื่นฏีกาจำเลยจะต้องดำเนินการตาม มาตรา 221 ที่บัญญัติว่าหากจำเลยได้มีผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีนั้น หรือ ผู้พิพากษา ที่ทำความเห็นแย้งคดีนั้นไว้ในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ หรืออัยการสูงสุดได้ลงชื่อรับรองในฏีกาว่ามีปัญหาสำคัญที่ควรสู่ศาลสูง และอนุญาตให้ฏีกาโดยมีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยก็ให้ยื่นฏีกานั้้นได้ แต่คดีของนายสรยุทธขณะนี้ยังมิได้ดำเนินการในส่วนนี้ ตามหลักกฏหมายที่บัญญัติไว้ ดังนั้นหากทนายความได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้แล้วก็สามารถยื่นคำร้องขอประกันตัวได้ใหม่อีกครั้ง

ภายหลังที่ได้รับทราบคำสั่งศาลฏีกาแล้ว นายมนต์อนันต์ เรืองจรัส ทนายความนายสรยุทธ ก็ได้กล่าวว่าคดีนี้ ใช้สิทธิ์ยื่นฏีกาได้แต่ก็ต้องให้ผู้พิพากษาหรืออัยการเซ็นรับรอง

จากนั้นเวลา 16.50 น.เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมนายสรยุทธ นางพิชชาภา และน.ส.มณฑา ขึ้นรถตู้เรือนจำไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง

คดีนี้ อัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2558 บรรยายพฤติการณ์ สรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2548 - 28 เม.ย. 2549 ต่อเนื่องกัน นางพิชชาภา พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ บมจ.อสมท จำเลยที่ 1 ได้จัดทำคิวโฆษณารวม ในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ซึ่งก่อนออกอากาศนางพิชชาภาใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลาจาก บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 1 จำนวน 17 ครั้ง ทำให้ บมจ.อสมท เสียหาย 138,790,000 บาท และยังได้เรียกรับเอาเงิน 658,996 บาทจากจำเลยที่ 2-4 เพื่อเป็นการตอบแทนที่นางพิชชาภา ไม่รายงานการโฆษณา ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยหน้าที่และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ บมจ.อสมท โดยมีจำเลยที่ 2-4 เป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ ให้ความสะดวกในการกระทำผิด และมอบเช็ค ธ.ธนชาต สาขาพระราม 4 สั่งจ่ายเงินให้นางพิชชาภา เหตุเกิดที่แขวงและเขตห้วยขวาง กทม.

จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี โดยชั้นตรวจหลักฐาน นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 แถลงแนวทางต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจอนุมัติการโฆษณาและไม่เคยใช้น้ำยาลบคำผิดลบข้อความเกี่ยวกับการจัดคิวเวลาโฆษณา ส่วนเช็ค 6 ฉบับที่ได้รับนั้นเป็นค่าประสานงานคิวโฆษณาที่นอกเหนือจากหน้าที่ ไม่ใช่ค่าตอบแทนในการไม่ระบุการโฆษณาเกินเวลา

ส่วน บมจ.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 ได้ต่อสู้ว่าไม่เคยมอบให้ผู้ใดไปติดต่อเพื่อจัดคิวโฆษณาเกินเวลาและไม่เคยให้จำเลยที่ 1 ใช้น้ำยาลบคำผิดในเอกสารเกี่ยวกับการโฆษณา เช่นเดียวกับนายสรยุทธ จำเลยที่ 3 ที่แถลงว่าไม่เคยรู้จักกับนางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่อะไรและไม่เคยติดต่อให้ผู้ใดไม่รายงานโฆษณาที่เกินเวลา แต่ยอมรับว่าเช็ค 6 ฉบับได้ลงลายมือชื่อนายสรยุทธ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเช็คที่ชำระค่าประสานงาน ไม่ใช่เงินที่ตอบแทนให้นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ใช้น้ำยาลบคำผิดในเอกสารการโฆษณา

ทั้งนี้ ระหว่างพิจารณาคดีนี้ นางพิชชาภา อดีตพนักงาน บมจ.อสมท, นายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา พนักงาน บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 1,3,4 ได้ประกันตัวโดยยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด ซึ่งศาลตีวงเงินคนละ 200,000 บาท

ขณะที่ศาลได้ไต่สวนพยานทั้ง 2 ฝ่าย และนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 59 ที่ผ่านมาว่า นางพิชชาภา อดีตพนักงาน บมจ.อสมท จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของรัฐ มาตรา 6, 8, 11 ส่วน บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.มณฑา พนักงาน บ.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2-4 มีความผิดฐานสนับสนุนตาม ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของรัฐ ม.6 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษสูงสุด

พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1-4 รายละ 6 กระทง ให้จำคุกนางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ 6 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 30 ปีและปรับ บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 กระทงละ 20,000 บาทรวม 6 กระทง ปรับทั้งสิ้น 120,000 บาท ส่วนนายสรยุทธ จำเลยที่ 3 และ น.ส.มณฑา จำเลยที่ 4 จำคุก 6 กระทงๆ ละ 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกคนละ 20 ปี

แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาศาลจึงลดโทษให้ 1 ใน 3 จึงให้จำคุกนางพิชชาภา อดีตพนักงาน บมจ.อสมท จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี ส่วนนายสรยุทธ และน.ส.มณฑา พนักงาน บ.ไร่ส้ม จำเลยที่ 3-4 จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน ขณะที่การกระทำของจำเลยทั้งสามนี้ ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ จึงไม่รอลงอาญา ส่วน บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 ให้ปรับรวม 80,000 บาท

โดยนางพิชชาภา, นายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา จำเลยที่ 1, 3, 4 ได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ หลังยื่นเงินสดซึ่งศาลตีราคาประกันคนละ 2 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล รวมทั้งให้จำเลยมารายงานตัวต่อศาลด้วยทุก 30 วัน

อย่างไรก็ดี สำหรับคดี บจก.ไร่ส้ม และนายสรยุทธนั้น นอกจากความผิดดังกล่าวแล้วก็ยังมีอีกสำนวนที่ บมจ.อสมท ได้แจ้งความฐานปลอมเอกสารและได้ส่งสำนวนให้อัยการสั่งคดี จนมีการยื่นฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1748/2559 ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 59 จากมูลเหตุเดียวกัน โดยอัยการสำนักงานคดีอาญา 3 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บจก.ไร่ส้ม โดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา, นายสรยุทธ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม, น.ส.มณฑา พนักงาน บ.ไร่ส้ม และนางพิชชาภา อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณา บมจ.อสมท เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 188, 264, 265, 268 ซึ่งคดีนี้ศาลอาญา ก็ให้ประกันตัวจำเลยทั้งสามคนละ 300,000 บาท โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการจัดทำคิว และทราบความเป็นไปของรายละเอียดการโฆษณาตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นสามัญสำนึกในหน้าที่จะต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของรัฐ จะอ้างว่ามีช่องว่างทางการตรวจสอบไม่ได้ เมื่อการโฆษณาเกินส่วนต้องเสียค่าโฆษณา แต่จำเลยที่ 1 ใช้น้ำยาลบคำผิดในใบคิวโฆษณาของจำเลยที่ 2 แม้ข้ออ้างว่าทำไปเพราะตกใจกลัวจะต้องรับผิดก็เป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนัก อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นธรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ซึ่งร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้ และที่จำเลยที่ 2 และ 3 อ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลบรายการในใบคิวโฆษณาของจำเลยที่ 1 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ให้การยอมรับเกี่ยวกับเหตุผลในการลบรายการในใบคิว และอ้างว่าได้รับการร้องขอจากจำเลยที่ 3 ในขณะที่จำเลยที่ 2 และ 3 กล่าวอ้างลอยๆ จึงไม่น่าเชื่อถือ

ส่วนคุณงามความดีของจำเลยที่ 3 ที่กล่าวอ้างเป็นเรื่องประวัติและความดีของจำเลยที่ 3 อันเป็นคนละส่วนกับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด ศาลต้องพิเคราะห์ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏจากการไต่สวน ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่กระทำความผิดหลายกรรมด้วยการมอบเช็ค 6 ฉบับตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา อุทธรณ์จำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้ใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษานานประมาณ 1 ชั่วโมง โดยระหว่างการฟังคำพิพากษาครั้งนี้ นายสรยุทธได้ขอน้ำดื่มจากทีมงาน และเมื่อศาลได้อ่านคำพิพากษาจนแล้วเสร็จ นายสรยุทธถึงกับใบหน้าแดงก่ำ และกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าจะยื่นฎีกาต่อสู้คดีต่อไปทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายในทุกประเด็น ส่วนจะมีประเด็นอะไรเพิ่มเติมต้องขอปรึกษาทีมทนายก่อน

ด้านนายมนต์อนันต์ เรืองจรัส ทนายความของนายสรยุทธ เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินยืนโทษจำคุกและโทษปรับตามศาลชั้นต้นสำหรับจำเลยทั้ง 4 คนว่า เตรียมจะยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด และบัญชีเงินฝากขอประกันตัวระหว่างฎีกา ซึ่งเดิมชั้นต้นได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดไว้ซึ่งศาลตีประกันชั้นต้น คนละ 2 ล้านบาท ซึ่งวันนี้ต้องรอดูว่าศาลจะพิจารณาตีหลักทรัพย์อย่างไร และสำหรับการยื่นฎีกาคดีนี้สามารถยื่นได้ตามขั้นตอนของกฏหมายเดิมทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

เมื่อเวลา 12.50 น. ศาลได้พิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายสรยุทธ และจำเลยร่วมทั้งหมดแล้ว ซึ่งจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์เงินสดและบัญชีเงินฝากคนละ 4 ล้านบาท จากหลักทรัพย์เดิมที่ใช้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ ตีราคาประกันคนละ 2 ล้านบาท ศาลเห็นควรส่งคำร้องให้ศาลฎีกาเป็นผู้สั่งประกันต่อไป โดยศาลอาญาทุจริตฯ ได้ออกหมายขังจำเลยทั้งหมดเพื่อให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวไปคุมขังไว้ที่เรือนจำก่อนระหว่างรอฟังคำสั่งการประกันตัวจากศาลฎีกา คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ โดยนายสรยุทธ จะถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ส่วนผู้ต้องขังหญิงคุมตัวไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง

สำหรับจำเลยในคดีเดียวกันยังเหลือคดีที่ บมจ.อสมท ยื่นฟ้องคดีเองต่อศาลแขวงพระนครเหนืออีกสำนวน ในคดีหมายเลขดำที่ อ.8134/2558 โดย บมจ.อสมท.ยื่นฟ้องนางพิชชาภา อดีตพนักงาน บมจ.อสมท, บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์, น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม และ น.ส.มณฑา ทั้งสามเป็นพนักงาน บ.ไร่ส้ม เป็นจำเลยที่ 1-6 ฐานร่วมฉ้อโกงไปเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 58 โดยคดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน ซึ่งศาลแขวงพระนครเหนือ นัดสืบพยานอีกครั้งในวันที่ 17 ต.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายละเอียดประเด็นการอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1-4 ซึ่งมีทนายความถึง 6 คนได้ยื่นข้อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์รวมแล้วถึง 16 ประเด็น ซึ่งมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายบางประเด็นซ้ำซ้อนกัน ที่น่าสนใจประเด็นแรกอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิด โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีหน้าที่ในการรายงานโฆษณาส่วนเกิน และช่วงเวลาออกอากาศต่างๆ เมื่อไม่มีหน้าที่จึงไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ศาลเห็นว่ากระบวนการสอบสวนและไต่สวนเกิดจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน อสมท เป็นเบื้องต้นและนำข้อเท็จจริงเข้าสู่กระบวนการไต่สวน ดังนั้นข้อเท็จจริงในกระบวนการสอบสวนจึงน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดจะอ้างว่าไม่มีหน้าที่ซึ่งจะต้องแจ้งนั้น รับฟังไม่ได้ เพราะจำเลยเป็นผู้รู้ดีในการจัดคิวโฆษณา แม้ อสมท ผู้เสียหาย ไม่มีระเบียบปฏิบัติชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติก็มีการปฏิบัติกันต่อเนื่องมาอย่างขัดแจ้ง เมื่อมีการตรวจสอบการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 ได้ทำพิรุธโดยใช้น้ำยาลบความผิดป้ายที่รายการจัดคิวโฆษณา อ้างว่าทำไปโดยตกใจ คำให้การของจำเลยไม่น่าเชื่อถือ ฟังว่าจำเลยผิดตามฟ้อง

ประเด็นอุทธรณ์ข้อที่ 2 จำเลยที่ 1 ซัดทอดว่า เป็นการกระทำของจำเลยที่ 4 ที่ใช้ให้ตนลบรายการคิวโฆษณา และต่อมาได้ติดต่อจำเลยที่ 4 ไม่ได้ เห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องและการพิจารณาได้บรรยายถึงพฤติกรรมการกระทำของจำเลยได้อย่างเชื่อมโยง พวกจำเลยมีความเกี่ยวพันกันในเรื่องของโฆษณาส่วนเกิน ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่ากระทำไปโดยถูกกดดัน และมีคำมั่นสัญญา ก็ไม่น่าเชื่อถือ ฟังว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามศาลชั้นต้น

ประเด็นอุทธรณ์ ข้อที่ 3 จำเลยอุทธรณ์ข้อกฎหมายว่า คำฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะฟ้องว่าพวกจำเลยมีเจตตาร่วมกันกระทำโดยแบ่งหน้าที่กันทำ รู้เห็นเป็นใจ และเกี่ยวพันกันในการกระทำผิด แต่ต่อมาศาลฟังว่าเป็นผู้สนับสนุน การกระทำของจำเลยที่ 3 ได้มอบเช็คภายหลังการกระทำความผิดที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว การกระทำจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นตัวการ ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำครบองค์ประกอบความผิด เพียงแต่ศาลได้ปรับบทลงโทษเป็นผู้ช่วยเหลือให้ความสะดวก ก่อนหรือขณะกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 86 เท่านั้น ฟ้องของโจทก์จึงชอบแล้ว

ประเด็นที่ 4 จำเลยอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเป็นฟ้องที่ไม่ช่อบด้วยกฎหมาย ศาลต้องยกฟ้องนั้น เห็นว่าการที่จำเลยอ้างว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ในการรายงานโฆษณาส่วนเกิน แต่กลับไม่รายงานโฆษณาออกอากาศให้ตรงกับความเป็นจริง แม้จะไม่ระบุว่าเป็นการออกอากาศในช่วงเวลาใด แต่คำฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างบุคคล สิ่งของ เวลา สถานที่ ที่เกี่ยวข้อง เพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ชัดเจน ตามกฎหมาย ป.วิ อาญา มาตรา 158 (5) ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ข้อ 5 จำเลยได้อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมาย ว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น เกินกว่าคำฟ้อง ศาลเห็นว่า ที่จำเลยที่ 4 อ้างว่า จำเลยที่ 2-4 เป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่ใช่ตัวการ จึงลงโทษฐานผู้สนับสนุนไม่ได้นั้น ศาลเห็นว่า ฝ่ายโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิด เป็นการยืนยันว่า จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิด แม้ศาลลงโทษเป็นผู้สนับสนุนก็เป็นเพียงการปรับบทลงโทษให้ถูกต้องเท่านั้น เพราะการกระทำฐานเป็นผู้สนับสนุนย่อมเป็นความผิดในตัวของความผิดตามฟ้อง ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงพิพากษาไม่เกินคำฟ้อง

ข้อ 6 จำเลยที่ 4 ยื่นอุทธรณ์ปัญหาในข้อกฎหมาย เฉพาะในส่วนจำเลยที่ 4 ว่าเป็นคำพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎมหายเพราะไม่ได้กล่าวถึงพฤติกรรมประกอบการกระทำของจำเลย ศาลเห็นว่า ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยการกระทำของจำเลยที่ 4 ว่าเป็นผู้ประสานใบคิวโฆษณาออกอากาศเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ รู้เห็นเป็นใจ พร้อมช่วยเหลือในการกระทำผิด คำพิพากษาไม่ต้องกล่าวให้เห็นพฤติกรรมของจำเลยทั้งสี่ทั้งหมด ย่อมชอบด้วย ป.วิ อาญา มาตรา 186 (5) (6) แล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น

ข้อ 7 จำเลยอุทธรณ์ว่าคำสั่งศาลปกครองที่เกี่ยวพันกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ นำมารับฟังผูกพันจำเลยไม่ได้ ศาลเห็นว่าข้อต่อสู้ฟังไม่ขึ้น

ข้อ 8 จำเลยอุทธรณ์ว่ารายงานการสอบสวนและการไต่สวนของ ป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีการสรุปข้อเท็จจริง เพื่อให้ฝ่ายตรวจสอบได้ดำเนินการก่อนการสอบสวน และไม่ได้นำเข้าสู่สำนวนคดีมาตั้งแต่แรกเห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานนอกสำนวน ประเด็นอุทธรณ์นี้จึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์เกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย เช่น การกระทำของจำเลยไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด และบางกรณีเพิ่งจะมีกฎหมายบัญญัติขึ้นภายหลัง เช่น พ.ร.บ. ป.ป.ช. ประกอบรัฐธรรมนูญ ปี 2542 มาตรา 123/5เกี่ยวกับการชี้มูลความผิด นั้นศาลเห็นว่า เป็นการสอบสวน และฟ้องตามกฎหมายที่ชอบแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเพียงการยกเอาประเด็นปลีกย่อย ขึ้นต่อสู้ จึงฟังไม่ขึ้น

ประเด็นต่อมาจำเลยที่ 3 นายสรยุทธอ้างว่าไม่รู้จักกับจำเลยที่ 1 นางพิชชาภา, ไม่เคยจ่ายเช็คให้จำเลยที่ 1 เพื่อให้กระทำความผิด แต่เป็นการจ่ายเช็คไปตามปกติของกลไกทางการค้า เห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการบริหารของจำเลยที่ 2 มีการกระทำที่มีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจปฏิเสธความผิดได้ การโฆษณาส่วนเกิน จำเลยที่ 1 จะต้องดำเนินการ 2 ประเด็น คือ 1. ต้องแสดงรายการ ถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ 2. ผู้โฆษณาส่วนเกินจะต้องชำระให้ถูกต้อง ที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่มีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น เพราะจำเลยที่ 1 รับว่าได้รับการร้องขอมาจากจำเลยที่ 3 และที่จำเลยต่อสู้ว่า รายงานการสอบสวนของ ป.ป.ช.เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขัดต่อหลักนิติธรรม และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ เป็นการสอบสวนที่จำเลยที่ 1 ถูกล่อลวง มีการให้คำมั่นสัญญาว่าจะถูกกันตัวไว้เป็นพยาน อีกทั้งเมื่อถูกตั้งข้อกล่าวหา ก็ไม่มีการให้ทนายเข้ารับฟัง ศาลเห็นว่าการสอบสวนของ ป.ป.ช.ได้เป็นไปตามกฎหมายไม่มีการล่อลวงจำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าจะถูกกันตัวไว้เป็นพยานนั้น ก็เป็นเพียงความรู้สึกฝ่ายเดีวของจำเลยเอง จึงไม่มีคำล่อลวงว่าจะปล่อยตัวเพราะจะกันไว้เป็นพยาน ศาลจึงรับฟังสำนวนของ ป.ป.ช.ไว้เป็นพยานในคดีนี้ได้

ประเด็นสุดท้ายอุทธรณ์ว่าจำเลยได้เคยประกอบคุณงามความดี และไม่ได้กระทำความผิด แต่หากฟังว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิด และลงโทษ ก็จะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ศาลเห็นว่า การประกอบคุณงามความดี กับการกระทำผิดดังพฤติการณ์ที่กล่าวในฟ้อง และที่ฟังได้ในการพิจารณาเป็นคนละเรื่อง เมื่อฟังได้ว่าพวกจำเลยกระทำผิดจึงต้องลงโทษตามฟ้อง

และที่จำเลยอ้างว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทำผิดเพียงกรรมเดียว ไม่ใช่การกระทำต่างกรรมต่างวาระ ศาลเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 3 นายสรยุทธจ่ายเช็คแต่ละใบ ย่อมเป็นความผิด 1 กรรม จะอ้างว่าเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวไม่ได้ ข้ออ้างชั้นอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อจึงฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
กำลังโหลดความคิดเห็น