รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ผู้จัดการ 360 วันพุธที่ 12 กรกฎาคม 2560 ตอน "ชีพ"ผงาดนั่งประมุขศาล "ธนฤกษ์"จ่อแทน "ศิริชัย"
กระบวนการแต่งตั้งประธานศาลฎีกาคนที่ 44 จบลงแล้ว ด้วยที่ที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการ หรือกต. ได้มีมติเป็นเอกฉันท์แต่งตั้ง นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา ลำดับที่1 ขึ้นเป็นประมุขฝ่ายตุลาการ ตามการเสนอความเห็นของอนุกรรมการตุลาการ
กรณีการสรรหาตัวประธานศาลฎีกาคนใหม่ ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งต่อจากนาย วีระพล ตั้งสุวรรณ ที่พ้นตำแหน่งเพราะมีอายุครบ65 ปีและได้รับแต่งเป็นผู้พิพากษาอาวุโสไปแล้ว ตามขั้นตอนจึงต้องมีการแต่งตั้งประธานศาลฎีกาขึ้นมารับไม้ต่อ โดยไม่ให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจตุลาการ
แต่การแต่งตั้งประมุขศาลคนใหม่ กลับมีเหตุการณ์ที่ไม่ราบรื่น กระบวนการสะดุดอย่างไม่มีใครคาดถึงว่าเกิดขึ้น คือเกิดมีปัญหายืดเยื้อมากว่าสองสัปดาห์ถึงจะได้ตัวประธานศาลฎีกาคนที่44 เพราะอนุกต. มีมติไม่เห็นชอบที่จะเสนอ นายศิริชัย วัฒนโยธิน ขึ้นเป็นประธานศาลฎีกา
อนุกต. เห็นว่า นายศิริชัยไม่มีความเหมาะสมในตำแหน่งประมุขศาล แม้ว่าจะนายศิริชัยจะเป็นที่สมควรขึ้นเก้าอี้สูงสุดในยุทธจักรตราชั่งตามนิติประเพณี ด้วยความที่นายศิริชัยมีอาวุโสลำดับที่1 เพราะรั้งตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์กลาง
การประชุมอนุกต. พิจารณาคุณสมบัตินายศิริชัยสองครั้งสองครา ก็มีมติยืนยันไม่เห็นชอบเสนอชื่อนายศิริชัย ที่การประชุมครั้งหลังสุด มีมติไม่ด้วยเสียงเป็นเอกฉันท์ 20/0 หลังจากนำความเห็นเข้าสู่การประชุมของกต. ชุดใหญ่เมื่อวันที่3 เดือนนี้ กต. ก็มีมติเอกฉันท์เห็นชอบกับอนุกต. ด้วยเสียง14/0
ต้องทราบว่า คณะกรรมการตุลาการมีที่นั่งทั้งหมด15 ที่นั่น มาจากสามศาลและคนนอก คือประกอบด้วย ตัวแทนจากศาลฎีกา6 คน ศาลอุทธรณ์4 คน ศาลชั้นต้น2 คน และคนนอก2 คนรวมประธานศาลฎีกาที่เป็นกรรมการโดยตำแหน่งอีกหนึ่งคน รวมเป็น15 คน
แต่ในคณะกรรมการชุดนี้มีว่าที่ประมุขศาล นายชีพ จุลมนต์ เป็นกรรมการด้วย สำหรับนายศิริชัยไม่ได้เป็นกต. เมื่อถึงวาระการพิจารณาแต่งตั้งประธานศาลฎีกา นายชีพจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียต้องออกจากที่ประชุม มติกต. จึงออกมาเป็น14 ต่อ0
ผลของการลงมติของกต. ชุดใหญ่ ที่มีมติไม่ผ่านชื่อนายศิริชัย กับมติแต่งตั้งนายชีพ ล้วนเป็นเอกฉันท์ ก็อาจจะแปลได้ว่า เป็นเสียงที่สะท้อนทั้งสองทางถึงความต้องการของเหล่าผู้พิพากษาน้อยใหญ่ที่ผ่านตัวแทนกรรมการทั้งสามศาล และนี่อาจนับเป็นแบบอย่างการแต่งตั้งที่ทุกองค์กรราชการควรเอาเยี่ยงอย่างในเรื่องเสรีภาพการเลือกผู้บริหารองค์กร
แต่บุคคลที่สมควรยกย่องมากที่สุด ก็เป็นนายศิริชัย ผู้พลาดหวังจากตำแหน่ง ที่ท่านได้แสดงสปิริตออกมาด้วยการเปิดเผยต่อสาธารณชนยอมรับว่า ผิดหวังแต่ก็ยอมรับในผลการแต่งตั้งที่เกิดขึ้น และยังมีกำลังใจที่จะใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์เป็นผู้พิพากษาทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองต่อไป
การกระทำของนายศิริชัยเป็นสิ่งที่น่ายกย่องชื่นชมในน้ำใจของสุภาพบุรุษ ซึ่งหลังจากที่นายศิริชัยออกมาเปิดใจ ก็ทำให้กระแสที่วิพากษ์วิจารณ์ศาลในทางลบว่าจะเกิด "วิกฤติตุลาการ"รอบใหม่ก็ดับลงไปด้วย นับเป็นการยุติปัญหาไม่ให้ลุกลามบานปลายทำลายองค์กรต่อไป
ขณะที่วิกฤติปัญหาของนายศิริชัยยังไม่จบ ต่อจากนี้ นายศิริชัยจะถูกสอบสวนข้อเท็จจริงที่ถูกนำมาถกเถียงกล่าวอ้างถึงความไม่เหมาะสมของท่าน แต่ไม่ใช่การสอบความผิดตามที่หลายคนคิด ก็จะเป็นโอกาสที่นายศิริชัยจะได้ชี้แจงมากขึ้นถึงการที่สั่งโอนสำนวนคดี แท้จริงเป็นไปเพื่ออะไร มีเหตุผลสมควรหรือไม่
นอกจากนั้น นายศิริชัยจะถูกย้ายออกจากตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์กลางด้วย ขณะนี้ทางคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมได้อนุมัติตำแหน่งใหม่ขึ้นมา1อัตราเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาประธานศาลฎีกา ที่มีศักดิ์ศรี และอาวุโสลำดับชั้นเท่ากับประธานศาลอุทธรณ์กลาง
ตำแหน่งนี้ถือว่ามีขึ้นเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ศาลยุติธรรม บางคนอาจจะเข้าใจว่ามีอยู่แล้ว ซึ่งที่มีอยู่เป็นตำแหน่ง ที่ปรึกษาศาลฎีกา เป็นตำแหน่งของคนนอกที่ศาลว่าจ้างมาไม่ใช่ตำแหน่งในราชการ ปัจจุบันคนที่เป็นที่ปรึกษาศาลยุติธรรมคือ นายโสภณ รัตนากร อดีตประศาลฎีกาคนที่26
ส่วนตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์กลางจะว่างลง คนที่มีโอกาสที่จะมานั่งแทน คือ นายธนฤกษ์ นิติเศรณี รองประธานศาลฎีกา ลำดับที่4 เพราะเมื่อนายชีพขึ้นประมุข อีกสองคนที่มีอาวุโสเหนือกว่าอายุครบ65 ปีต้องย้ายไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโส ธนฤกษ์จะมีอาวุโสเบอร์หนึ่งของรองประธานศาลฎีกา เลยคั่วเก้าอี้แบบไร้คู่แข่ง แต่จะอยู่แค่ปีเดียวก็ต้องไป ไม่มีโอกาสชิงเป็นประมุขศาล เนื่องจากนายชีพ จุลมนต์จะเป็นประธานศาลฎีกาอีกสองปี


