แม่และน้องบีม ฝากขอบพระคุณผู้ใจบุญที่มีน้ำใจบริจาคเงินช่วยเหลือ ตอนนี้ยอดกว่าห้าแสนบาท ลั่นจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เพื่อเป็นทุนในการศึกษา รักษาตัวลูกสาว และส่วนหนึ่งใช้ในการต่อสู้คดี
เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 60 ที่ ธนาคารกสิกรไทย สาขาปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ พร้อม น้องบีม บุตรสาว ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ว่า วันนี้น้องบีมไม่ได้ไปเรียนหนังสือ เนื่องจากมีอาการปวดกระดูกที่หลัง จนกระดูกโผล่ อีกทั้งยังอิดโรยจากการที่ต้องเดินทางไปติดตามเรื่องคดีในแต่ละวันจนไม่ได้พักผ่อน ซึ่ง น.ส.พรทิพย์ ได้พาน้องบีมเดินทางมาที่ธนาคาร เพื่อปรับยอดสมุดบัญชีที่ได้รับจากผู้ใจบุญโดยได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยเสียงสั่นเครือ พร้อมขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยเสนอข่าว รวมทั้งสภาทนายความหน่วยงานต่างๆ ที่ไม่ทอดทิ้ง ออกมาช่วยเหลือตนกับลูกสาวในครั้งนี้ ทั้งๆ
ที่ตนเองคิดว่าคงสิ้นหวังแล้วในด้านคดีความ แต่เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากสังคมก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาต่อสู้ชีวิตอีกครั้ง
ตอนนี้ตนเองหวังเพียงแต่ว่าลูกสาวจะได้รับการศึกษาที่ดี มีเงินไว้ในการรักษาตัว และต้องขอขอบพระคุณผู้ใจบุญที่มีน้ำใจบริจาคเงินเข้ามาในบัญชีของตนเองหลังเป็นข่าวทางสื่อมวลชน โดยยอดเงินตอนนี้รวมกับที่ทางสภาทนายความและสมาคมผู้สื่อข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งผู้ใจบุญทุกๆ คนที่ให้ความช่วยเหลือมาตอนนี้กว่าห้าแสนบาท ซึ่งระหว่างปรับสมุดทางพนักงานในธนาคารที่ทราบข่าวทางทีวี หนังสือพิมพ์ ต่างพากันเรี่ยไรช่วยเหลือสองแม่ลูกด้วยความสงสารเป็นเงินจำนวนหนึ่งอีกด้วย “แม่ยืนยันว่าจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เพื่อเป็นทุนในการศึกษา รักษาตัวลูกสาว และส่วนหนึ่งใช้ในการต่อสู้คดี”
ขณะที่น้องบีมเองเปิดเผยว่า ตนกับแม่ยังคงออกขายของตามศาลาวัดเหมือนเดิม เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ เพราะสงสารแม่ที่ไม่มีรายได้อะไรมาจุนเจือ ส่วนที่ทาง นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ผวจ.นนทบุรี อยากช่วยเหลือในเรื่องของการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลโควตาคนพิการนั้น ตนเองก็สนใจและอยากได้มาขายควบคู่ไปกับของที่ขายอยู่ในแต่ละวัน และอยากฝากกราบขอบพระคุณท่านผู้ว่าฯ ที่เข้ามาช่วยเหลือตนเองทุกเรื่อง รวมทั้ง นายไกรธวัช ทินโสม นายอำเภอปากเกร็ด ที่จะให้ไปทำงานบนที่ว่าการอำเภอในนามของกาชาดอำเภอปากเกร็ด มีเงินเดือนประจำ แต่ติดตรงที่ตนเองยังไม่พร้อม เพราะต้องให้แม่พาไปส่งโรงเรียนทุกวัน
