xs
xsm
sm
md
lg

ชั่วเกินเยียวยา ประหาร! “ไอ้ตั้ม” ฆ่าชิงไอโฟน ประวัติโชกโชนถือเป็นภัยร้ายแรงของสังคม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - ประหารชีวิต “ไอ้ตั้ม” พร้อมคู่หูฆ่าชิงไอโฟน บัณฑิต มศว ไม่ลดโทษ เพราะก่อเหตุหลายครั้ง เข้าออกสถานพินิจ 8 ครั้ง เริ่มทำชั่วตั้งแต่อายุ 13 พฤติการณ์ยากแก่การแก้ไข และสารภาพเพราะจำนนหลักฐาน ศาลพิพากษาให้ตายตกตามกัน



วันนี้ (31 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 903 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.125/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 และนางนิราภรณ์ เหลืองแจ่ม มารดาผู้เสียชีวิต ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติกร หรือตั้ม วิกาหะ อายุ 26 ปี ชาว จ.สระแก้ว และนายสุพัฒชัย หรือเอ็กซ์ จันทร์ศรี อายุ 25 ปี ชาว จ.อุทัยธานี เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์ที่ตนกระทำผิดฯ, ฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปในเวลากลางคืนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยใช้ยานพาหนะ และร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมืองหรือหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 (7), 339 และ 371

คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2560 ระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2560 เวลากลางคืน จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ได้นั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นคนขี่ มาถึงบริเวณปากซอยสุคนธสวัสดิ์ 27 ถ.สุคนธสวัสดิ์ แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. พบนายวศิน หรือมะปิน เหลืองแจ่ม บัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ (มศว) ประสานมิตร กำลังถือโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 6 ราคา 26,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธมีดจี้ขู่เข็ญให้นายวศินยื่นโทรศัพท์ให้ แต่นายวศินต่อสู้ขัดขืนจึงถูกจำเลยใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายนายวศินอย่างแรงหลายครั้งตามร่างกาย และลำคอจนถึงแก่ความตาย แล้วชิงโทรศัพท์มือถือผู้ตายหลบหนีไป กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมของกลาง 5 รายการ ส่งพนักงานสอบสวน สน.โคกครามดำเนินคดี โดยพนักงานอัยการได้คัดค้านการให้ประกันตัวด้วย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนี และเป็นการกระทำผิดโดยอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และเป็นคดีสะเทือนขวัญประชาชน อีกทั้งหลังก่อเหตุคดีนี้ ในคืนเดียวกันทั้งสองยังได้ก่อเหตุชิงทรัพย์ในท้องที่ สน.โชคชัย และวิ่งราวทรัพย์ท้องที่ สน.โคกคราม รวม 3 คดี ซึ่งเป็นภัยต่อสังคม จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองสถานหนักด้วย

ชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ อัยการจึงนำพยานสองปากสืบประกอบคำรับสารภาพ คือ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อาคารบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ และพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม โดยตลอดการพิจารณาคดี จำเลยทั้งสองไม่ได้รับการประกันตัว โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
น.ส.ศรุตา เหลืองแจ่ม พี่สาวของนายวศิน ผู้เสียชีวิต
ศาลพิเคราะห์พิเคราะห์คำรับสารภาพประกอบพยานที่โจทก์นำสืบแล้วเห็นว่า โจทก์มีพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทแห่งหนึ่งเป็นพยานในที่เกิดเหตุเบิกความว่า เมื่อคืนวันที่ 4 ม.ค. 2560 เวลา 22.00 น. พยานเห็นหนึ่งในจำเลยฉุดกระชากนายวศินจนล้มลงและแทงหลายครั้ง พยานจึงวิ่งออกไปตะโกนห้าม ทำให้จำเลยทั้งสองซ้อนท้ายจักรยานยนต์หลบหนีไป และเข้าไปช่วยเหลือนายวศิน แต่นายวศินเสียเลือดมาก จึงโทร.แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบที่เกิดเหตุ ต่อมาพยานได้ไปให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนและชี้ตัวจำเลยทั้งสองได้ เนื่องจากสามารถจดจำใบหน้าของคนร้ายได้ชัดเจน ขณะเดียวกัน พนักงานสอบสวนก็ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้ และผลการตรวจลายนิ้วมือแฝงได้จากหมวกกันน็อกของคนร้ายที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ มีดของกลาง และโทรศัพท์ที่ยึดได้ตรงกับจำเลยทั้งสอง พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันและไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าเบิกความไปตามความเป็นจริง เมื่อจับกุมจำเลยทั้งสองได้ พนักงานสอบสวนได้นำตัวไปชี้จุดเกิดเหตุและทำแผนประกอบคำรับสารภาพ พยานหลักฐานทั้งหมดจึงมีน้ำหนักมั่นคง

ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 (7), 339 และ 371 ในข้อหาร่วมกันพกพาอาวุธมีดไปในเมือง ตามมาตรา 371 ให้ปรับคนละ 1,000 บาท ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์ เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นความผิดทางอาญา และร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปโดยใช้ยานพาหนะฯ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษประหารชีวิตข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ ตามมาตรา 289 (7) ซึ่งเป็นบทหนักสุด และเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์แล้ว จำเลยก่อเหตุร้ายแรง มีประวัติการก่ออาชญากรรมหลายครั้ง ยากแก่การปรับปรุงแก้ไขนิสัย และคำรับสารภาพเกิดจากการจำนนต่อพยานหลักฐาน จึงไม่มีเหตุลดโทษ ให้ประหารชีวิตสถานเดียว

ด้าน น.ส.ศรุตา เหลืองแจ่ม พี่สาวของนายวศิน ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ตนพอใจมากที่ศาลพิพากษาประหารชีวิตจำเลยทั้งสองคน และไม่มีการลดโทษ ส่วนจำเลยจะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้นยังไม่ทราบ รายละเอียดขอคุยกับทนายความและทางบ้านก่อน เราเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ทำดีได้ผลดี ทำไม่ดีก็ได้ผลไม่ดี ใครทำอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น ขณะนี้ทางเราก็คิดถึงคนที่เรารัก ทำใจว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้จะโหดร้าย และที่พ่อแม่ไม่เดินทางมาในวันนี้เพราะท่านไม่พร้อมเผชิญหน้าจำเลย

ส่วน น.อ.ประชา อยู่สำราญ ทนายความครอบครัวนายวศิน กล่าวว่า พอใจในวันนี้ที่ศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิต ส่วนขั้นตอนต่อไปหากจำเลยประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ ตนก็พร้อมที่จะแย้งอุทธรณ์ของจำเลย ซึ่งคิดว่าคดีนี้ถ้าหากฝ่ายจำเลยจะยื่นอุทธรณ์ก็คงจะเป็นประเด็นในเรื่องของการขอลดโทษ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายกิตติกร จำเลยที่ 1 นั้นก่อนก่อเหตุคดีนี้ เคยมีประวัติโชกโชนโดยเคยต้องโทษเข้าเรือนจำมาแล้ว 8 ครั้ง ตั้งแต่อายุ 13 ปี ก่อเหตุลักษณะคดีบุกรุก, ทำร้ายร่างกาย, ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยก่อนเกิดเหตุคดีนี้ นายกิตติกรได้ออกมาจากเรือนจำเมื่อเดือน ธ.ค.ปี 2559

ขณะที่ระหว่างก่อเหตุชิงทรัพย์ไอโฟน เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2560 นายกิตติกร และนายสุพัฒชัย ยังได้ร่วมกันก่อเหตุชิงทรัพย์โดยขี่จักรยานยนต์ตระเวนไปยังบริเวณใกล้เคียงซอยสุคนธสวัสดิ์ ต่อเนื่องตั้งแต่กลางดึก 4-5 ม.ค. 2560 ในพื้นที่ สน.โคกคราม และ สน.โชคชัย โดยพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญา 2 คดี และมีคำพิพากษาแล้ว ประกอบด้วยคดี หมายเลขดำที่ อ.262/2560 และหมายเลขแดงที่ อ.230/2560 ที่อัยการคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องทั้งสองคนในความผิดฐานร่วมกันพยายามวิ่งราวทรัพย์กระเป๋า ซึ่งมีมือถือเอไอเอสยี่ห้อลาวา มูลค่า 3,500 บาท และเงินสด 150 บาทกับทรัพย์สินอื่นอีก 2 รายการของผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้หญิงในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 และ 336 ทวิ โดยอัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2560 จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำพิพากษา วันที่ 31 ม.ค. 2560 ให้จำคุกคนละ 3 ปีตามมาตรา 336 วรรคแรก คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน และให้นำโทษจำคุก 8 เดือนของจำเลยทั้งสองที่ศาลจังหวัดนนทบุรี รอการลงโทษไว้นำมารวมกับคดีนี้ จึงรวมโทษจำคุกจำเลยทั้ง 2 เป็นคนละ 1 ปี 14 เดือน

และคดีหมายเลขดำที่ อ.685/2560 และหมายเลขแดงที่ อ.971/2560 ที่อัยการคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องทั้งสองคนในความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธ มีดปลายแหลมยาว 33 ซม. ลักเอาโทรศัพท์ไอโฟน 5 เอส มูลค่า 9,600 บาทของผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้หญิงไปในเวลากลางคืน โดยจำเลยใช้กำลังกระชากแขนผู้เสียหายจนล้มกับพื้นแล้วใช้อาวุธมีดจี้เอาทรัพย์ไป โดยจำเลยได้ใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะในการหลบหนี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340 ตรี, 371 โดยอัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2560 จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2560 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 15 ปี ฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 วรรค 2 และให้ปรับคนละ 1,000 บาท ฐานร่วมกันนำอาวุธมีดเข้าไปในเมืองฯ จำเลยรับสารภาพจึงลดโทษเหลือจำคุกคนละ 7 ปี เดือน และปรับคนละ 500 บาท และให้รวมโทษจำคุกคดีนี้กับคดีที่ศาลอาญาตัดสินแล้ว หมายเลขแดงที่ อ.230/2560 ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า จากผลคดีทั้งสองที่ศาลตัดสินไปแล้วนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์คดี
กำลังโหลดความคิดเห็น