MGR Online - โฆษกศาลยุติธรรมชี้แจง ฎีกาจำคุกคนละ 5 ปี ตายายเก็บเห็ด ระบุศาลลงโทษจำคุกฐานร่วมกันครอบครองและทำไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต
วันนี้ (2 พ.ค.) นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยถึงคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3581/2554 หมายเลขแดง ที่ 3508/2554 ที่อัยการจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอุดม ศิริสอน อายุ 48 ปี และนางแดง ศิริสอน อายุ 48 ปี (ขณะเกิดเหตุ) เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2553 เวลากลางวัน กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองและทำประโยชน์โดยการทำไม้ในป่าดงระแนง ต.คลองขาม อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ที่อยู่ในแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ และใช้อุปกรณ์เครื่องมือ ตัดและโค่นไม้สัก ไม้กระยาเลย ที่เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ออกจากต้นจำนวน 700 ต้นในเขตดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และมิได้รับสัมปทานหรือได้รับยกเว้นใดๆ ตามกฎหมาย รวมทั้งร่วมกันมีไม้สัก และไม้กระยาเลยที่ยังไม่ได้แปรรูป จำนวน 1,148 ท่อน โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย ไว้ในครอบครอง และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
จนกระทั่งในวันนี้ เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาแก้ให้จำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันทำไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำคุกคนละ 6 ปี ฐานร่วมกันมีไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ยื่นฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2554 จำคุกคนละ 30 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุกคนละ 15 ปี ริบของกลางทั้งหมด และให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เข้าไปครอบครองด้วย
ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้ เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2555 ความผิดฐานร่วมกันบุกรุก แผ้วถาง ก่อสร้าง ทำไม้ ยึดถือครองครอง หรือกระทำการใดๆอันเป็นการกระทำให้เสื่อมสภาพป่าสงวนแห่งชาติเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานทำไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 11 ปี และฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้อันยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 19 ปี ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานร่วมกันทำไม้ คงจำคุกคนละ 5 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกคนละ 9 ปี 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 14 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวเพิ่มเติมว่า ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ข้อ 3 และ ข้อ 5 ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา 69 และมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง จึงใช้กฎหมายเดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสสังคมว่าคดีนี้ศาลลงโทษคนชราที่ทำผิดเล็กน้อย และต้องเข้าคุกทำให้เกิดความสะเทือนใจจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ นายสืบพงษ์กล่าวว่า คดีนี้ขณะกระทำผิดจำเลยทั้งสองอายุ 48 ปี ไม่ใช่คนชรา และชั้นสอบสวนผู้ต้องหาก็ได้รับการแจ้งสิทธิว่าต้องการและพบทนายความหรือไม่ เมื่อถูกฟ้องศาลจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจต่อหน้าศาล ซึ่งกฎหมาย ป.วิอาญามาตรา 173 ระบุว่าในคดีอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำไม่เกิน 5 ปี ศาลลงโทษได้โดยไม่ต้องสืบพยานประกอบ และกฎหมายให้ถามว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและต้องการศาลจะจัดให้ตามมาตรา 176 แต่จำเลยทั้งสองไม่ต้องการ ศาลจึงไม่มีข้อเท็จจริงจากฝ่ายจำเลย จึงพิพากษาไปตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และเมื่อทั้งสองยื่นฎีกาเข้ามาก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลจึงรับฟังไม่ได้
ทั้งนี้ ตนขอให้สังคมตระหนักว่า เมื่อถูกจับเป็นผู้ต้องหาควรรู้สิทธิเบื้องต้น หรือถามญาติหรือใครก็ได้ เพื่อให้พาไปพบกรมคุ้มครองสิทธิฯ หรือพบทนายความประจำโรงพักทั่วประเทศ หรือปรึกษาพบทนายจากสภาทนายความในเบื้องต้น หรือไปที่ศาลพบเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิฯ ส่วนเรื่องที่ทนายจำเลยบอกว่าจะรื้อฟื้นคดีนั้น เห็นว่าคดีนี้ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว หากมีพยานหลักฐานชิ้นใหม่ก็สามารถไปร้องรื้อฟื้นคดีตามสิทธิก็ได้ ส่วนเรื่องพักโทษ หากได้รับโทษมาแล้วหนึ่งในสาม และเป็นผู้ชราก็ขอพักโทษได้ ตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์ของกระทรวงยุติธรรม