MGR Online - ศาลชั้นต้นพิพากษาสั่งประหารชีวิต “อาเธอร์” หนุ่มสเปน มือฆ่าหั่นศพเพื่อนชาติเดียวกัน หวังเอาเงินในบัญชีของผู้ตาย
ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (21 เม.ย.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฆ่าหั่นศพชาวสเปน หมายเลขดำ อ.1372/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอาเธอร์ เซการา พรินเซพ หรืออาร์ตู (Mr.Segarra Princep Artur ) อายุ 38 ปี สัญชาติสเปน เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย, หน่วยเหนี่ยวกักขังฯ , ลักทรัพย์ และข้อหาอื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) , 199 , 310 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2559 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2559 เวลา 08.20 น. ได้พบชิ้นส่วนแขนขวามนุษย์ ลอยมาในแม่น้ำเจ้าพระยา ติดบริเวณอู่ต่อเรือเอกชนแห่งหนึ่งใกล้วัดคฤหบดี แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กทม. และยังพบชิ้นส่วนมนุษย์อีกหลายชิ้นลอยมาในแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตรับผิดชอบ สภ.เมืองนนทบุรี , สภ.ปากเกร็ด และ สภ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี จากการสืบสวนสอบสวน พบว่า ชิ้นส่วนมนุษย์เป็นของ นายเดวิด เบอเนต โมราด ชาวสเปน โดยจำเลยพาผู้ตายเข้าไปในห้องพักพีจี คอนโด พระราม 9 อสมท. แขวง – เขตห้วยขวาง กทม. จากนั้นได้ฆ่าผู้ตายก่อนหั่นศพ และนำชิ้นส่วนทิ้งลงในแม่น้ำเจ้าพระยาตามจุดต่างๆ ที่พบแล้วหลบหนีไป กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบและจับกุมได้ขณะหลบหนีมาอยู่ที่ ตลาดการค้าชายแดนบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
ในวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัว นายอาเธอร์ จำเลย มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อฟังคำพิพากษา ซึ่งนายอาเธอร์มีสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่เครียด โดยมีเจ้าหน้าที่จากสถานกงสุลประเทศสเปน บุคคลใกล้ชิดเป็นสาวต่างชาติ 1 คน กับ บาทหลวง 1 คนและผู้สื่อข่าวประเทศสเปน ร่วมฟังการพิจารณาคดีด้วย ทั้งนี้ นายอาเธอร์ ถูกคุมขังมานาน 1 ปี 2 เดือนนับตั้งแต่ถูกจับกุมและฝากขังเมื่อเดือน ก.พ.2559
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน แต่โจทก์มีพยานแวดล้อมนำสืบประกอบ ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มนายตำรวจที่เข้าตรวจสถานที่พักของผู้ตาย รวมทั้งที่พักของจำเลยย่านพระราม 9 และกล้องวงจรปิดทั้งสองแห่ง พบว่าคอนโดที่จำเลยพักทางเข้าออกเพียงทางเดียว ซึ่งจะมีป้อมยามและรปภ.กับกล้องวงจรปิดติดอยู่ ซึ่งได้ตรวจสอบวงจรปิดพบ ภาพจำเลย เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2559 พาผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า สีแดงมาที่คอนโด ย่านพระราม 9 กับภาพวันที่ 26 และ 29 ม.ค. เห็นจำเลยนำถุงขนาดใหญ่วางบนที่พักเท้ารถจักรยานยนต์ขี่ออกไป แต่ขากลับเข้ามาไม่มีถุงมาด้วย โดยยังตรวจสอบพบว่าจำเลยได้สั่งซื้อตู้แช่ ขนาด 6.9 คิว มาพร้อมกับมีใบเสร็จสั่งซื้อ และจำเลยยังซื้อใบเลื่อยหลายขนาด ประมาณ 20 อัน เครื่องเจียรลูกหมู (เครื่องเจียรไฟฟ้า) กับอุปกรณ์น้ำยาล้างห้องน้ำทำความสะอาด ซึ่งพยานกลุ่มนี้เป็นเจ้าหน้าที่ไม่เคยรู้จักกับจำเลยและผู้ตาย จึงมีเหตุที่จะกลั่นแกล้งใส่ความจำเลย
กลุ่มที่ 2 ยังมีตำรวจหญิงจากกองพิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจดีเอ็นเอ เบิกความว่าได้ตรวจสอบคราบเลือดที่เก็บได้จากห้องน้ำคอนโดของจำเลย, ลายนิ้วมือแฝงที่เครื่องเจียร เปรียบเทียบดีเอ็นเอ พบว่า คราบเลือดตรงกับดีเอ็นเอผู้ตาย ส่วนลายนิ้วมือแฝงตรงกับจำเลย ประกอบกับยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการตรวจสอบเปรียบเทียบการหั่นชิ้นส่วนอวัยวะ กับ ขาหมูแช่แข็ง พบว่าการแช่แข็งเพื่อให้ง่ายต่อการลงมือ เพราะเลือดจะออกน้อยและไม่มีกลิ่นคาวคลุ้ง ซึ่งรอยของการใช้ใบเลื่อยไฟฟ้าตรงกับลักษณะของรอยตัดแขนของผู้ตาย โดยผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์มีความถูกต้องแม่นยำ เชื่อถือได้ยากบุคคลอื่นจะมาทำลายได้
และกลุ่มที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารทั้งของซิตี้แบงก์ และธนาคารกสิกรไทย เบิกความเรื่องตรวจสอบการโอนเงินระหว่างบัญชีซึ่งพบว่าก่อนเสียชีวิต ผู้ตายได้เปิดบัญชีธนาคารซิตี้แบงก์ไว้ทั้งสิงคโปร์และไทย พร้อมกับขอเปิดบริการอินเตอร์เน็ตแบงก์กิ้งเพื่อโอนเงินผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งจะมีการแจ้งตรวจสอบผ่านทางอีเมล์ รวมทั้งการติดต่อทางโทรศัพท์ เพื่อยืนยันการโอนเงิน ส่วนจำเลยได้เปิดบัญชีของธนาคารกสิกรไทย สาขาเทสโก้โลตัส เกาะสมุย ซึ่งพบรายการโอนเงินจากธนาคารซิตี้แบงก์ของผู้ตายเข้าบัญชีจำเลย ในวันที่ 21-22 ม.ค. จำนวน 10,000 ดอลล่าร์สิงคโปร์ และ 95,000 ดอลล่าร์สหรัฐที่จำเลยได้ใส่ชื่อตัวเองในบัญชีการโอนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้ตาย ได้ขอใช้บริการไว้ แล้วจำเลยยังมีความพยายามที่จะติดต่อธนาคารผ่านทางอีเมล์ผู้ตาย เพื่อยืนยันให้ธนาคารโอนเงิน อีก 4 ครั้ง เป็นเงิน 1.5 แสนดอลล่าร์สหรัฐ และจะให้โอนเงินอีก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งระหว่างนั้นธนาคารพยายามติดต่อผู้ตายทางโทรศัพท์ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ การขอโอนเงินจำนวนมากดังกล่าวจึงได้ถูกระงับไว้ก่อน โดยประเด็นนี้ยังมีแฟนสาวคนไทยของจำเลย เบิกความด้วยว่า เมื่อวันที่ 21-22 ม.ค.ได้ใช้บัตรเอทีเอ็มที่จำเลยให้มา ไปกดเงินมารวม 80,000 บาท แล้วจำเลยยังได้ชักชวนพยานไปบ้านเกิดของพยาน จ.สุรินทร์ ระหว่างนั้นเห็นว่าจำเลยทำโทรศัพท์มือถือตก แต่ไม่เก็บจนมีผู้อื่นเก็บไปและช่วงที่จำเลยจะพากลับกรุงเทพฯ ก็ได้แวะไปถอนเงินที่ธนาคารต่างจังหวัด แต่ถอนไม่ได้ ซึ่งช่วงย้ายที่พักจากคอนโด พระราม 9 ไปเช่าบ้านที่จำเลยหาไว้ย่านรามคำแหง ได้เห็นมีตู้แช่แข็งขนาดใหญ่ ทั้งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนขณะอยู่คอนโด และก่อนที่จะไปสุรินทร์เห็นจำเลยนำมีดหลายเล่มใส่กล่องรองเท้าโยนทิ้งถังขยะ โดยช่วงพักด้วยกันที่คอนโด จำเลยเคยบอกว่า จะมีเพื่อนผู้ชายมาพักด้วย ให้พยานย้ายไปที่อื่นก่อน
ส่วนจำเลยมีเพียงตัวจำเลยเท่านั้นที่เบิกความต่อสู้คดีว่า คอนโดที่พักมีวงจรปิดทุกชั้น แต่กลับไม่มีภาพผู้ตายและเครื่องเจียรไฟฟ้าหากใช้งานย่อมมีเสียงดัง ซึ่งห้องพักของจำเลยยังมีห้องพักที่อยู่ตรงข้ามและด้านข้างอีกนั้น ฝ่ายโจทก์ก็มีแม่บ้านประจำคอนโดชั้น 7 ที่จำเลยพักเบิกความว่าห้องพักจำเลยอยู่ด้านริมขวาสุด ส่วนห้องพักตรงข้ามและด้านข้างไม่มีคนอยู่ ส่วนกล้องวงจรปิดใช้ไม่ได้ทุกชั้น จะมีกล้องวงจรปิดที่ใช้ได้บริเวณป้อมยามทางเข้า-ออกเพียงทางเดียว นอกจากนี้ยังได้ความจากเจ้าหน้าที่ที่ตรวจเปรียบเทียบการใช้เลื่อยไฟฟ้าด้วยว่า แม้จะมีเสียงแต่จะดังมากน้อยขึ้นอยู่กับสภาพห้อง ซึ่งศาลเห็นว่าประเด็นเรื่องเสียงไม่ใช่ สาระสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงไปว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด ส่วนวิธีการประทุษร้ายว่าจะเป็นการใช้กำลังหรือการให้กินยาพิษหรือสารเสพติดนั้น ไม่ใช่ข้อพิรุธที่จะทำให้พยานโจทก์มีความเคลือบแคลงน่าสงสัย โดยจำเลยได้พาผู้ตายไปที่ห้องแล้วทำให้ปราศจากเสรีภาพและทำให้ผู้ตายจำยอมบอกข้อมูลรหัสเอทีเอ็ม และอีเมล์ติดต่อธนาคาร
ส่วนมูลเหตุจูงใจกระทำผิด จากคำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ทำให้เชื่อว่าเกิดจากการฆ่าเพื่อเอาทรัพย์สินเงินฝากในบัญชีธนาคารของผู้ตายที่หากได้มีการโอนเงินสำเร็จจนครบจะมีมูลค่าประมาณ 25 ล้านบาท
จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อประโยชน์ทรัพย์สินผู้ตายให้ประหารชีวิต ,ให้จำคุก 5 ปี ฐานนำบัตรเอทีเอ็มของผู้อื่นไปใช้ ,ให้จำคุก 5 กระทงๆละ 2 ปี รวม 10 ปี ฐานเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อโอนเงินมาเป็นประโยชน์ของตนเอง,จำคุก 4 ปี ฐานเข้าสู่ระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ด้วยการปลอมอีเมล์ผู้ตาย และจำคุกอีก 2 ปี ฐานทำลาย ปิดบัง ซ่อนเร้นศพ แต่เมื่อศาลลงโทษสูงสุดประหารชีวิตแล้ว ไม่อาจนำโทษอื่นมารวมได้ จึงให้ประหารชีวิตสถานเดียว และให้ชดใช้เงินคืนแก่ญาติผู้ตาย 734,940 บาท และให้ริบรถจักรยานยนต์ เครื่องเจียร ใบเลื่อยและตู้แช่แข็งด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษานาน 1 ชั่วโมงเศษ โดยมีล่ามแปลภาษาสเปนให้จำเลยเข้าใจผลคำพิพากษาโดยตลอด ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว จำเลยไม่มีสีหน้าตกใจ หรือเสียใจต่อผลดังกล่าวแต่มีสาวต่างชาติซึ่งใกล้ชิดกับจำเลยถึงกับร่ำไห้ในห้องพิจารณาเมื่อทราบผลคำพิพากษา ขณะที่จำเลยยังหันกอดบาทหลวงด้วยแต่ก็ไม่มีสีหน้าหวั่นวิตก จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัว นายอาเธอร์ จำเลยไปคุมขังยังเรือนจำบางขวาง
ด้านนายเจษฎา ปิยะสุวรรณวานิช ทนายความจำเลย กล่าวว่า เท่าที่เคยคุยกับนายอาเธอร์ก่อนฟังคำตัดสินคิดว่าจะจำคุกตลอดชีวิต แต่เมื่อศาลพิพากษาลงโทษเต็มที่ประหารชีวิต โดยเบื้องต้นได้คุยให้ตนไปพบที่เรือนจำสัปดาห์หน้าเพื่อหารือเรื่องอุทธรณ์ที่มีโอกาสสูงที่นายอาเธอร์จะต่อสู้คดีถึงที่สุด หากยื่นอุทธรณ์ก็มีเวลา 30 วันนับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นวันนี้ แต่หากยื่นไม่ทันก็สามารถขออนุญาตศาลขยายเวลาได้
อย่างไรก็ดีพ่อของนายอาเธอร์ที่อยู่สเปน เคยติดต่อตนที่จะให้ยื่นเรื่องประกันตัวแต่เนื่องจากคดีนี้โทษสูงถึงประหารชีวิตและนายอาเธอร์เคยมีพฤติการณ์จะหลบหนีข้ามชายแดนดังนั้นก็อาจมีโอกาสน้อยที่จะได้ประกันตัว ขณะที่วันนี้กงสุลสเปนที่มาร่วมฟังคำพิพากษายังได้หารือกับตนถึงข้อตกลงระหว่างประเทศไทย-สเปน ที่หากผลคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยได้รับโทษจำคุกไปแล้ว 8 ปี สามารถที่จะขอตัวไปคุมขังนับโทษต่อที่ประเทศสเปนได้หรือไม่ ซึ่งในส่วนที่ประเทศสเปน ทราบจากนักข่าวสเปนว่านายอาเธอร์ ก็มีคดีถูกกล่าวหาฉ้อโกงอยู่ที่นั่นด้วย