MGR Online - ตำรวจกองปราบฯ นำตัวแม่-สาวคนสนิททอมโชกุน และเครือข่าย รวม 8 คน ฝากขังต่อศาลอาญา พร้อมคัดค้านการประกันตัวหวั่นหลบหนี พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่ม 2 ข้อหา ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกง ปชช.
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (20 เม.ย.) เวลา 10.20 น. ร.ต.ท.หญิง พรพิมล ดอกไม้ พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้ควบคุมตัว นางมณฑญาณ์ นิรันดร อายุ 55 ปี มารดาซินแสโชกุน, นายก้องศรัณย์ แสงประภา อายุ 22 ปี ลูกพี่ลูกน้องซินแสโชกุน, น.ส.ทัศย์ดาว สมัครกสิกรรณ์ อายุ 35 ปี คนสนิทซินแสโชกุน, นางประนอม พลานุสนธิ์ อายุ 40 ปี เลขานุการซินแสโชกุน, นางณิชมน แสงประภา อายุ 64 ปี ป้าซินแสโชกุนและมารดาของนายก้องศรัณย์, นางพารินธรญ์ หงษ์หิรัญ ดัคกอร์ อายุ 35 ปี, น.ส.สุดารัตน์ เอนกนวล อายุ 25 ปี และนายโกวิท ช่วยสัตว์ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาที่ 1-8 กรณีร่วมกับ น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน ฉ้อโกงประชาชน มาฝากขังครั้งแรกต่อศาลอาญาเป็นเวลา 12 วัน ระหว่างวันที่ 20 เม.ย. – 1 พ.ค. 2560 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ซ่องโจร, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210, 343 พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 3, 4, 12 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์ว่า น.ส.พสิษฐ์ หรือซินแสโชกุน ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท เวลท์ เอเวอร์ จำกัด ได้สมคบกันตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป เพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สิน โดยสร้างระบบธุรกิจเครือข่ายคล้ายธุรกิจขายตรง ให้ประชาชนนำเงินมาสมัครสมาชิก ซื้อผลิตภัณฑ์ และซื้อหุ้นของบริษัทฯโดย เสนอจะจ่ายผลตอบแทนหรือค่าคอมมิชชั่น และเงินปันผลแล้วแต่กรณี ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายสามารถจะจ่ายให้ได้ ทั้งที่ความจริงแล้ว น.ส.พสิษฐ์ กับพวกผู้ต้องหา ไม่ได้ประกอบกิจการอื่นใดเพื่อให้มีรายได้มาจ่ายเป็นผลตอบแทนแก่สมาชิก แต่เน้นการหาสมาชิกโดยนำเงินของสมาชิกรายใหม่มาจ่ายให้กับสมาชิกรายเก่าเท่านั้น ซึ่งมีการเผยแพร่ประกาศโฆษณาแผนการตลาด แสดงกำหนดการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นเท็จผ่านทางเว็บไซต์ยูทูบ, รายการเวลท์เอเวอร์ทางช่องทีวีดิจิตอล เฟซบุ๊กชื่อ wealthever for live, แอพพลิเคชั่นไลน์ และสื่อโซเชียลต่างๆ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อให้กู้ยืมเงินตามแผนการตลาดที่ น.ส.พสิษฐ์ กับพวกร่วมกันวางไว้ โดยรู้อยู่ว่าเป็นการนำเงินจากสมาชิกรายใหม่มาจ่ายหมุนเวียนให้แก่สมาชิกรายเดิม มีค่าสมัครสมาชิกแต่ละราย 9,730 บาท จะได้สิทธิเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศฟรีด้วยเครื่องบินแบบเช่าเหมาลำ
นอกจากนี้ น.ส.พสิษฐ์ กับพวก ยังได้ประกาศให้กลุ่มแม่ข่ายออกไปชักชวนประชาชนทั่วไปให้มาสมัครสมาชิกและซื้อสินค้าตามที่ผู้ต้องหาได้ร่วมกันหลอกลวง โดยสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการให้กลุ่มแม่ข่ายและสมาชิกบางส่วนได้ไปเที่ยวต่างประเทศฟรี พร้อมถ่ายภาพคู่กับสินค้าของบริษัท แล้วโพสต์ภาพและข้อความลงในไลน์กลุ่มหรือเฟซบุ๊ก ทำให้สมาชิกและประชาชนทั่วไปเชื่อถือในแผนธุรกิจดังกล่าว จึงพากันสมัครสมาชิกและโอนเงินเข้าบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งแปด ซึ่งล้วนเป็นคนใกล้ชิดของ น.ส.พสิษฐ์ จำนวนมาก เนื่องจากหลงเชื่อว่าจะได้เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศฟรีในช่วงระหว่างวันที่ 11-16 เม.ย. ที่ผ่านมา
ต่อมาวันที่ 11 เม.ย. 2560 มีผู้ที่หลงเชื่อและโอนเงินเข้าบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวได้พากันเดินทางมาที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นตามที่ น.ส.พสิษฐ์ กับผู้ต้องหาโฆษณาหลอกลวงไว้ แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลา กลุ่มประชาชนผู้เสียหายไม่สามารถเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นได้ โดยได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ ว่าไม่มีเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่จะไปประเทศญี่ปุ่น เนื่องจาก กลุ่มผู้ต้องหาไม่ได้เช่าเหมาลำเครื่องบินแต่อย่างใด ต่อมา น.ส.พสิษฐ์ ประกาศยกเลิกโปรแกรมการท่องเที่ยวดังกล่าว กลุ่มผู้เสียหายจึงรู้ตัวว่า ถูกหลอก
การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวงประชาชนทั่วประเทศหลายพันคนให้หลงเชื่อ ขณะนี้มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว 400 ราย และยังคงมีผู้เสียหายติดต่อเดินทางมาร้องทุกข์อย่างต่อเนื่อง มูลค่าความเสียหายประมาณ 15 ล้านบาท หลังเกิดเหตุการณ์ น.ส.พสิษฐ์ และกลุ่มผู้ต้องหาได้หลบหนีจากที่พักย่าน จ.นนทบุรี เดินทางด้วยรถยนต์ไปยัง จ.ระนอง พร้อมปิดโทรศัพท์มือถือของทุกคนเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ติดตามได้ และเมื่อไปถึง จ.ระนอง น.ส.พสิษฐ์, นางมณฑญาณ์ และ น.ส.ทัศย์ดาว ได้มอบบัตรเอทีเอ็มให้กับนายโกวิท ผู้ต้องหาที่ 8 ไปกดเงินที่ จ.พังงา เพื่อเบี่ยงเบนการติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร สามารถจับกุมตัว น.ส.พสิษฐ์ กับพวกไว้ได้ โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 13/2559 นำตัวทั้งหมดมาควบคุมเพื่อซักถาม
ต่อมาพนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นขอหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ต่อศาลอาญา ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และความผิดฐานซ่องโจร และได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักรหลายท้องที่เกี่ยวพันกัน ระหว่างเดือน ม.ค.2560 – เม.ย. 2560
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนยังระบุว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบปากคำพยานอีกหลายปาก ตรวจสอบหลักฐานทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหา รอผลการตรวจประวัติอาชญากรรมและตรวจสอบเอกสารจำเป็นอย่างอื่น จึงขอฝากขังผู้ต้องหา และขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี ยากแก่การติดตามตัวในภายหลัง ซึ่งมีพฤติการณ์ที่บ่งชี้ได้ว่าจะหลบหนี และจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ภายหลังญาติของน.ส.สุดารัตน์ เอนกนวล ผู้ต้องหาที่ 7 และนายโกวิท ช่วยสัตว์ ผู้ต้องหาที่ 8 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นสลากออมสินคนละ 3 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราว
ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาทั้งสองกับพวกซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชน และข้อหาอื่นเป็นเหตุให้ประชาชนหลายพันคนได้รับความเสียหาย และมีมูลค่าความเสียหายสูง ทั้งก่อนถูกจับกุมผู้ต้องหาได้ร่วมกันหลบหนี และถ่ายเททรัพย์สินเพื่อมิให้ถูกจับกุมดำเนินคดี ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกัน เพราะเกรงจะหลบหนี และไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางและเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ น.ส.พสิษฐ์ ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้ฝากขังครั้งแรกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา
ด้านทนายความ น.ส.พสิษฐ์ กล่าวหลังเข้าพบ น.ส.พสิษฐ์ ที่ถูกคุมขังว่า น.ส.พสิษฐ์ บอกว่าตอนนี้ขอทำใจอยู่เรือนจำก่อน ยังไม่ขอยื่นประกันตัว ขอรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักประกันในการปล่อยตัวชั่วคราว ส่วนจะยื่นเมื่อไหร่ต้องดูอีกครั้ง ยืนยันว่ามีความประสงค์ที่จะคืนเงินให้กับผู้เสียหายที่มีการจ่ายเงินแล้ว แต่ยังไม่ได้รับสินค้า มีข้อเท็จจริงบางส่วนที่แม่ทีมไปดำเนินการเองโดยพลการ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบริษัท