xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวลึก ปมลับ : ล้วงลึกขุมทรัพย์ อ. มหา'ลัย รับกันเละเงินเดือนรัฐ/เอกชน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน
กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ผู้จัดการ 360 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560 ตอน ล้วงลึกขุมทรัพย์ อ. มหา'ลัย รับกันเละเงินเดือนรัฐ/เอกชน




จากกรณีที่ ปปช. กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ให้รวมถึงตำแหน่งรองอธิการบดี จนเป็นเหตุให้รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดัง ลาออกจากตำแหน่งจำนวนมาก ซึ่งเหตุตบเท้าลาออก คงคิดเป็นอื่นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่กลัวเรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สิน เลยส่งผลให้สังคมสนใจเรื่องเงินๆทองๆของครูบาอาจารย์ขึ้นมาทันที ว่ามีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า?

เรื่องนี้แต่เดิมความเชื่อของสังคมไทย ครูบาอาจารย์เป็นอาชีพที่มีรายได้น้อย ทว่า ในข้อเท็จจริงแล้ว อาชีพบุคลากรทางการศึกษา “สายสอน” มีรายได้มากกว่าที่คิด เฉพาะกรณีของอาจารย์ในระดับอุดมศึกษา มีเงินได้เดือนๆหนึ่งน่าอิจฉา

ตามตารางบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปี 2558 เงินเดือนครูผู้ช่วยเมื่อแรกเข้ารับราชการอยู่ที่ 15,050 และถ้าทำผลงานและรับราชการไปเรื่อยๆ สมมุติว่าเกษียณที่ตำแหน่ง ครู คศ.5 เพดานเงินเดือนจะอยู่ที่ 76,800 บาท

​ในส่วนของอาจารย์ในระดับอุดมศึกษาแม้ว่าแต่ละสถาบันจะไม่เท่ากัน ทว่า โดยเฉลี่ยแล้วอาจารย์วุฒิปริญญาโทจะเริ่มสตาร์ทที่ประมาณ 18,000 บาท ส่วนอาจารย์วุฒิปริญญาเอกจะสตาร์ทที่ประมาณ 27,000 หากมีตำแหน่งทางวิชาการก็จะมีค่าตำแหน่งทางวิชาการเช่นกัน

สรุปในชั้นนี้ก็คือ อาจารย์จบใหม่จะได้เฉพาะเงินเดือนตอนสตาร์ท ส่วนถ้าอายุงานครบ 2 ปีจะมีสิทธิ์ทำตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ เมื่อได้รับอนุมัติก็จะได้ค่าตำแหน่งทางวิชาการบวกเข้าไปในเงินเดือน

​รายได้อีกส่วนหนึ่งของอาจารย์มหาวิทยาลัยคือค่าตอบแทนในการเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ หรือที่เรียกกันว่าเงินค่าคุมวิทยานิพนธ์ ถ้าเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทจะได้ประมาณ 5,000-10,000 ต่อวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา 1 คน ถ้าเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกจะได้ประมาณ 10,000-20,000 ต่อวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา 1 คน ถ้าเป็นนักศึกษาปริญญาตรีที่บางมหาวิทยาลัยให้ทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์ก็จะมีรายได้ในส่วนนี้เข้ากระเป๋าอีก

โดยในระหว่างการทำวิทยานิพนธ์ก็จะมีขั้นตอนการตรวจสอบเครื่องมือวิจัย โดยอาจารย์มหาวิทยาลัยจะได้รับเชิญให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ไม่ทุกคนที่จะได้รับรายได้ก้อนนี้ และในระหว่างการสอบวิทยานิพนธ์ก็จะมีค่าประธานสอบ ค่ากรรมการสอบ ค่าเบี้ยประชุมพิจารณาวิทยานิพนธ์ โดยหลังจากทำวิทยานิพนธ์เสร็จ นักศึกษาต้องเขียนบทความวิจัย ในส่วนนี้ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีวารสารวิชาการก็จะได้รับเชิญให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความวิจัย ได้ค่าอ่านบทความวิจัยอีกดอกหนึ่ง

​ยังไม่นับอาจารย์มหาวิทยาลัยสายใต้ดิน ที่เปิดบริษัทรับจ้างทำวิทยานิพนธ์ โดยสามารถเรียกเงินจากลูกค้าซึ่งอาจเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอื่นหรือมหาวิทยาลัยที่ตนเองสอนอยู่เท่าไหร่ก็ได้ เพราะนักศึกษาต้องการเรียนจบ

​รายได้ต่อมาของอาจารย์มหาวิทยาลัยคือทุนวิจัย ถ้าเป็นงานวิจัยร่มใหญ่ที่ต้องมีทีมงานมาร่วมทำวิจัยจะเป็นเงินก้อนใหญ่ ซึ่งจะได้จากมหาวิทยาลัยหรือจากหน่วยงานภายนอก แต่หากทำวิจัยคนเดียวเงินทุนวิจัยก็จะน้อยกว่าวิจัยร่วม

​นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขายหนังสือหรือตำราทางวิชาการที่อาจารย์เขียนเอง บางครั้งใช้ระบบถ่ายเอกสารแต่ขายในราคาเดียวกับหนังสือจากโรงพิมพ์ซึ่งนักศึกษาไม่มีสิทธิ์โต้แย้งเพราะเป็นตำราหลักหรือหนังสือหลักที่บังคับให้ทุกคนต้องใช้ในการเรียนการสอน ยิ่งถ้าเป็นหนังสือจากโรงพิมพ์ซึ่งมีส่วนลดเปอร์เซ็นต์เมื่ออาจารย์สั่งซื้อในปริมาณมากๆ ทว่า นำมาขายให้กับนักศึกษาในราคาปก

เมื่อคูณจำนวนนักศึกษาในแต่ละเทอม เงินก้อนนี้มีมูลค่ามากอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

​รายได้อีกก้อนหนึ่งหากอาจารย์ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการบริหาร เช่น หัวหน้าสาขาวิชาหรือภาควิชา ประธานหลักสูตร ผู้อำนวยการหลักสูตร ผู้ช่วยคณบดี รองคณบดี ผู้อำนวยการฝ่ายใน “สายสนับสนุน” คณบดี ผู้ช่วยอธิการบดี รองอธิการบดี หรืออธิการบดี ทั้งหมดจะมีเงินค่าตำแหน่งทางการบริหารบวกเข้าไปในเงินเดือน ลดหลั่นกันไปตามระดับของการบริหาร

​รายได้ต่อมาของอาจารย์มหาวิทยาลัยคือการเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรภาคธุรกิจ ซึ่งอาจารย์บางคนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือยิ่งมีตำแหน่งทางวิชาการ และมีวุฒิปริญญาเอก ก็ยิ่งได้รับความเชื่อถือจากบริษัทห้างร้านต่างๆ ให้เข้าไปเป็นที่ปรึกษา ในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านวิจัย หรือด้านการบริหารองค์กร เป็นต้น รายได้ในทางนี้คือปัญหาที่อาจารย์

มหาวิทยาลัยที่มีตำแหน่งทางการบริหารไม่ยอมยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ ป.ป.ช. เนื่องจากเป็นรายได้ที่ค่อนข้างมาก ซึ่งการอาศัยชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยและตำแหน่งทางวิชาการที่ตนเองใช้ทรัพยากรของมหาวิทยาลัยในหลายส่วนผลักดันตนเองขึ้นมา และที่สำคัญก็คือไม่ตรงกับภารกิจที่ สกอ.ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษาได้ประกาศไว้ ซึ่งถ้าเปิดเผยจะเป็นข้อครหาได้หลายทาง

เช่น ทางจริยธรรม ทางวินัย ทางแพ่ง ทางอาญา หรือภาพลักษณ์ทางสังคม เพราะภารกิจที่ สกอ.กำหนดไว้มี 4 ประการคือผลิตบัณฑิต ทำผลงานวิจัย ทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม และการบริการวิชาการ โดยเฉพาะข้อสุดท้ายที่ สกอ.กำหนดให้เป็นการบริการแบบให้เปล่าคืนแก่สังคม ชุมชน และประเทศชาติ ไม่ใช่ให้นำไปแสวงหาประโยชน์ใส่ตนเองและพวกพ้อง

บางมหาวิทยาลัยถึงกับตั้งหน่วยงานบริการวิชาการเสมือนบริษัทรับจัดฝึกอบรมเรียกค่าธรรมเนียมแพงๆ โดยอาศัยชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยและตำแหน่งทางวิชาการหรือวุฒิการศึกษา

​กรณีสุดท้ายคือการที่อาจารย์มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะผู้ที่มีตำแหน่งทางการบริหารและยิ่งถ้ามีตำแหน่งทางวิชาการหรือวุฒิปริญญาเอกออกไปทำธุรกิจเองก็ยิ่งได้รับความเชื่อถือจากสังคมและองค์กรธุรกิจในการทำธุรกิจร่วมกัน เป็นอีกช่องทางทำเงินของอาจารย์มหาวิทยาลัยที่คงไม่ต้องการให้ใครมาตรวจสอบ

​ต่างจากครูราวฟ้ากับดิน ครูอย่างดีก็แค่เป็นพนักงานขายตรงหรือขายประกันเป็นอาชีพเสริมเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น