MGR Online - อัยการสูงสุดสั่ง “บอส ทายาทกระทิงแดง” ชนดาบตำรวจทองหล่อดับ เข้าพบเพื่อนำตัวส่งฟ้อง 27 เม.ย.นี้ หลังจากเลื่อนเมื่อ 23 มี.ค. เบี้ยวอีกเจอหมายจับถึงต่างแดน ก่อนคดีหมดอายุความ ปัดคดีจิ๊บจ๊อยไม่กระทบการโยกย้ายอัยการที่ถูกกล่าวอ้าง
วันนี้ (30 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวความคืบหน้าคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ทายาทเจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง “กระทิงแดง” ขับรถยนต์หรูพุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ทำหน้าที่สายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 ว่าในวันนี้ทางพนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ได้แจ้งให้ผู้ต้องหามาพบพนักงานอัยการ แต่เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมาผู้ต้องหาได้มอบอำนาจให้ทนายความมาขอเลื่อนคดีกับพนักงานอัยการโดยอ้างว่าติดภารกิจที่ประเทศอังกฤษ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา กรุงเทพใต้ได้อนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 27 เมษายน 2560
โดยนายประยุทธกล่าวว่า คดีนี้นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ขณะนั้น ได้เคยมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาแล้ว หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง ครั้งหลังสุดก็ได้ร้องขอความเป็นธรรมโดยให้สอบพยานอีกหลายปาก แต่พนักงานอัยการได้สั่งยุติหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาและแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งฟ้องเดิมที่สั่งฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและหลบหนี ไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควรและแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที พร้อมกับมีหนังสือแจ้งให้นายวรยุทธมาพบพนักงานอัยการเพื่อทราบคำสั่งและส่งฟ้องในวันที่ 25 เมษายน 2559
ปรากฏว่า เมื่อพนักงานอัยการได้แจ้งไปยังผู้ต้องหาแล้ว วันที่ 12 เมษายน 2559 ผู้ต้องหาได้มอบอำนาจให้ทนายความมายื่นหนังสือต่อพนักงานอัยการขอเลื่อนคดี อ้างว่าติดธุระอยู่ต่างประเทศ พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบการดำเนินคดีจึงอนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 25 พฤษภาคม 2559 พร้อมกับกำชับให้ผู้ต้องหามาพบพนักงานอัยการตามกำหนดนัด แต่เมื่อถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2559 ปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่มาพบพนักงานอัยการ พนักงานอัยการจึงมีหนังสือแจ้งไปที่พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้ไปดำเนินการติดตามเอาตัวผู้ต้องหาเพื่อส่งฟ้องต่อศาล ซึ่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ก็ได้แจ้งผลการติดตามตัวผู้ต้องหาว่าผู้ต้องหาได้ขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานอัยการออกไปก่อนเนื่องจากได้ไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมที่คณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม ปากผู้ชำนาญการพิเศษในประเด็นเรื่องความเร็วของรถ โดยทางพนักงานอัยการก็ได้พิจารณาและยืนยันให้พนักงานสอบสวนไปติดตามตัวผู้ต้องหามาส่งให้พนักงานอัยการเพื่อฟ้องต่อศาลภายในวันที่ 24 มิถุนายน 2559 แต่ภายหลังผู้ต้องหามีหนังสือเลื่อนการเข้าพบโดยอ้างว่าอยู่ระหว่างตนร้องขอความเป็นธรรมไปที่ สนช.เช่นเดิม พนักงานอัยการยังคงยืนยันให้ผู้ต้องหามาพบเพื่อส่งฟ้องต่อศาล และมีหนังสือลงวันที่ 12 ตุลาคม 2559 แจ้งไปยังพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้นำตัวผู้ต้องหามาพบ แต่ตัวผู้ต้องหาก็ยังอ้างเหตุเดิม จนวันที่ 28 พฤศจิกายน 2559 ผู้ต้องหามีหนังสือถึงพนักงานอัยการแจ้งขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดภารกิจอยู่ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 คณะกรรมาธิการการกฎหมาย สนช.ได้ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องมาให้พนักงานอัยการเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ในวันเดียวกันผู้ต้องหาก็ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อให้สอบปากคำพยานผู้ชำนาญการพิเศษ โดยอ้างว่าตนเองไม่ได้ขับรถเร็วตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบการดำเนินคดีในรูปของคณะทำงานได้สั่งสอบสวนเพิ่มเติมตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ ผลการสอบสวนเพิ่มเติมพนักงานอัยการล่าสุดพนักงานอัยการได้รับผลการสอบสวนเพิ่มเติมครบถ้วนแล้ว จนนัดตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องต่อศาลในวันที่ 27 เมษายน นี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมานาน 5 ปี แล้วการดำเนินคดีต่อกรณีนี้ยังไม่ได้ส่งตัวผู้ต้องหาฟ้องต่อศาล เป็นการประวิงเวลาหรือไม่ นายประยุทธว่า เนื่องจากมีการขอความเป็นธรรมหลายครั้ง แต่การที่จะร้องขอความเป็นธรรมนั้นอัยการก็จะต้องดูเหตุที่อ้างว่าเลื่อนลอยหรือไม่ กรณีนี้มีการร้องต่อคณะกรรมาธิการการฯ สนช. ถ้าเราไม่สอบเพิ่มเติมให้ก็อาจถูกกล่าวหาว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้ประเด็นที่นายวรยุทธได้ร้องขอความเป็นธรรมมาก่อนหน้านี้ ทางอัยการก็ได้พิจารณาสอบเพิ่มตามที่ร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องความเร็วของรถที่ไปร้องต่อคณะกรรมาธิการฯ สนช. เรียกได้ว่าคดีใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว จนปัจจุบันนี้อัยการก็ยังคงมีคำสั่งให้ฟ้องนายวรยุทธ โดยในวันที่ 27 เมษายนที่อัยการนัดให้ผู้ต้องหาพบเพื่อส่งตัวฟ้อง นั้นถ้ามีการอ้างเหตุผลเลื่อนลอยก็จะประสานพนักงานสอบสวนออกหมายจับเพื่อนำตัวมาดำเนินคดี โดยจะไม่สามารถอ้างเหตุผลเดิมได้อีกแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จากคดีนี้ที่มีการดำเนินคดีค่อนข้างล่าช้า กระทบต่อภาพลักษณ์ต่ออัยการหรือไม่ และมีข่าวว่าอัยการที่ทำสำนวนนี้ตั้งแต่ต้นถูกโยกย้ายหรือไม่ นายประยุทธกล่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุดต้องยอมรับการตรวจสอบ แต่ตามที่ตนได้ไล่เรียงขั้นตอนต่างๆ ก็จะเห็นได้ว่าอัยการไม่ได้เพิกเฉยหรือซุกสำนวนแต่อย่างใด โดยเรายึดหลักว่าความล่าช้ากระทบต่อความยุติธรรม แต่เหตุที่คดีนี้ล่าช้าเพราะว่าผู้ต้องหามีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาหลายครั้ง อัยการก็ต้องรอสอบให้สิ้นกระแสความ แต่ถ้าไม่มีประเด็นเพิ่มเข้ามาอีกก็น่าจะยุติได้ ตนคิดว่ายิ่งผู้ต้องหานามสกุลดังกลับยิ่งเป็นที่จับตามองของสังคมมากกว่า คิดว่าเรื่องนี้สังคมจะเข้าใจ ส่วนเรื่องที่ย้ายอัยการนั้นยืนยันว่าไม่มีย้ายอัยการเพราะทำคดีนี้แน่นอน เพราะโดยปกติก็มีการโยกย้ายอัยการตามวาระทุกปี
เมื่อถามว่าคดีของ นายวรยุทธที่จะทยอยหมดอายุความจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง นายประยุทธกล่าวว่า แม้บางข้อหาจะหมดอายุความไปแล้ว แต่ในการการสืบพยานในชั้นศาลก็จะมีการนำสืบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น การหมดอายุความในบางข้อหาไม่ส่งผลกระทบต่อรูปคดี คดีนี้ยังมีเหลือข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีอายุความ 15 ปี และจะหมดอายุความในเดือนกันปี 2570 ส่วนคดีไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหาย และไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงานในทันที ชนแล้วหนี คดีนี้อายุความ 5 ปี จะขาดอายุความภายในวันที่ 3 กันยายน 25260 นี้ โดยทางพนักงานอัยการจะกำชับให้พนักงานสอบสวนจะนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องได้ก่อนหมดอายุความ
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ทำไมไม่ประสานขอให้ตำรวจออกหมายจับ นายประยุทธกล่าวว่า เรื่องที่นายวรยุทธไม่มาพบอัยการก็มีการอ้างเหตุและร้องขอความเป็นธรรม บางเรื่องที่ร้องมามีเหตุผลให้ต้องสอบสวน แต่ขณะนี้เมื่อมีการสอบเสร็จสิ้นแล้ว หากยังไม่มาทางอัยการก็อาจจะประสานตำรวจขอออกหมายจับเพื่อส่งตัวผู้ต้องหา ส่วนในกรณีที่ผู้ต้องหายังอยู่ต่างประเทศ เรามีอัยการสำนักงานต่างประเทศคอยดูแลเรื่องนี้อยู่