MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา “เจ๋ง ดอกจิก” แกนนำ นปช.ปราศรัยหมิ่นเบื้องสูง ช่วงเสื้อแดงชุมนุมปี 53 โดยไม่รอลงอาญา คุมตัวเข้าเรือนจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
วันนี้ (7 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.2740 /2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้าย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
โดยอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 53 บรรยายพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค.53 จำเลยได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช. เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ด้วยเครื่องกระจายเสียงและมีการติดตั้งจอภาพต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ ยุบสภาของอภิสิทธิ์นี่มันยากเพราะอะไร เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างที่ออกมา เปรมก็ไม่ยอมและอาจมีเหนือกว่านั้น ผมก็ไม่รู้ ไม่กล้าพูด แต่พี่น้องที่อยู่ที่นี่ ( ใช้มือจับปากของตัวเอง และกิริยาที่สื่อให้ผู้รับฟังเห็นว่าอย่าพูดไป หรือพูดไม่ได้) คิดอะไรกันอยู่นะ ผมร้อนใน ผมจับปากก่อน ไม่มีใครรู้หรอกครับ เพราะปัจจัยที่ไอ้อภิสิทธิ์ไม่กล้ายุบสภา หนึ่งเปรม ติณสูลานนท์ ไม่ยอมยุบ สองพรรคร่วมรัฐบาล สามทหาร สี่สุเทพ ห้าเนวิน พวกนี้คอยบีบคอสุเทพ คอยบีบคออภิสิทธิ์ไว้” ซึ่งคำพูดของจำเลยย่อมทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ผู้ที่อยู่เหนือกว่าและอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี คือผู้แต่งตั้งประธานองคมนตรี ทรงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง อยู่เบื้องหลังไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรียุบสภาตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้อง คำพูดดังกล่าวจึงเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ชื่อเสียง เกลียดชัง เหตุเกิดแขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีก่อการร้าย หมายเลขดำ อ.2542/2553 ของศาลอาญาด้วย ซึ่งครั้งแรกจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ภายหลังให้การปฏิเสธสู้คดี
ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 56 ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 3 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 จึงให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่ไม่รอการลงโทษ ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดี แต่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 57 ยืนตามศาลชั้นต้น โดยจำเลยได้ยื่นฎีกาคดีอีก ซึ่งจำเลยได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์-ฎีกาคดีในวงเงินประกัน 5 แสนบาท
ขณะที่วันนี้นายยศวริศได้เดินทางมาศาล โดยสวมกางเกงขายาวสีดำ และใส่แจ็คเก็ตสีดำ มีสีหน้าท่าทางแจ่มใส ทักทายกับนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความและผู้ใกล้ชิดที่เดินทางมาร่วมให้กำลังใจ
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ขณะเกิดเหตุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จำเลยปราศรัยบนเวที นปช. เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 53 สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เวลากลางวัน ว่า “ยุบสภาอภิสิทธิ์มันยาก เพราะ พล.อ.เปรมไม่ยอม และอาจจะมีเหนือกว่านั้น ผมพูดไม่ได้ ...“ และข้อความอื่น ซึ่งโจทก์มีพยานเป็นนิติกร ตัวแทนจากสมาคมบัณฑิตสตรีกฎหมายแห่งประเทศไทย และประชาชนซึ่งประกอบอาชีพรับจ้าง เบิกความว่า เมื่อได้ฟังข้อความที่จำเลยปราศรัยทำให้เข้าใจได้ว่าคือสถาบันเบื้องสูง และเมื่อพิจารณาข้อความประกอบทั้งหมดแล้วยังเห็นว่าคำกล่าวของจำเลยได้โจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อย่างรุนแรง ทั้งในเรื่องส่วนตัวและการกล่าวหาทุจริต โดยจำเลยกระทำในลักษณะที่ไม่ให้ความเกรงใจและไม่ให้ความนับถือต่อประธานองคมนตรีที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้ง นอกจากนี้ จำเลยก็ยังกล่าวถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในขณะนั้น ในลักษณะเดียวกันที่ไม่ให้ความเกรงใจและไม่ให้ความนับถือ นอกจากนี้ จำเลยยังแสดงท่าทางในลักษณะเอามือปิดปาก สื่อให้เข้าใจว่าพูดไม่ได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าการกระทำของจำเลยนั้นหมายถึงสิ่งของอื่นนั้นฟังไม่ขึ้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าไม่เป็นกลาง และยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่สมควรลงโทษสถานเบาและควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยได้กระทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์กระทบต่อจิตใจของประชาชนทั่วไปที่มีความจงรักภักดี และไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โดยที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 3 ปี และลดโทษให้ 1 ใน 3 นั้น เห็นว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ปราณีแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะให้รอการลงโทษ ที่ศาลล่างพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืนจำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ
ภายหลังฟังคำพิพากษาเสร็จ นายยศวริศได้ใช้โทรศัพท์พูดคุยกับคนใกล้ชิด ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัวไปคุมขังยังเรือนจำ เพื่อรับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยมีกลุ่มคนใกล้ชิดประมาณ 3-4 คน และทนายความให้กำลังใจ ขณะรอส่งตัว อย่างไรก็ดี ภรรยาและครอบครัวของนายยศวริศไม่ได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วยแต่อย่างใด ต่อมาเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายยศวริศขึ้นรถกระบะลูกกรง ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยนายยศวริศยังอยู่ในชุดเสื้อแจ็คเก็ตสีดำ