โฆษกศาลยุติธรรมแจงยื่นขอรื้อคดี “สุพัฒน์ หล้าปุย” อ้างตกเป็นแพะได้เพียงครั้งเดียว หลังศาลเคยมีคำสั่งไม่ให้รื้อฟื้นคดี เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานใหม่
วันนี้ (14 ก.พ.) นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยถึงกรณีที่ นายสุพัฒน์ หล้าปุย จำเลย ที่อ้างว่าตกเป็นแพะในคดีฆ่าคนตาย ซึ่งถูกจำคุกมานานกว่า 2 ปี ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดพล ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 486/2552 หมายเลขแดงที่ 1269/2552 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดพล โจทก์ นายสุพัฒน์ หรือ เอ็ม หล้าปุย จำเลย ได้เดินทางมายังศาลอาญาในช่วงเช้าของวันนี้ ก่อนเดินทางไปศาลฎีกาและกระทรวงยุติธรรมในเวลาต่อมา เพื่อเรียกร้องให้รับรื้อฟื้นคดีทางอาญาและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง หลังจากเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา ทีมงานของกระทรวงยุติธรรมได้ดำเนินการยื่นคำขอรื้อฟื้นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดพล แต่ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้อง
สำนักงานศาลยุติธรรมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ขอเรียนชี้แจงว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 ว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2552 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยมีและพาอาวุธปืนพกลูกซองเถื่อนพร้อมกระสุนขนาด 12 จำนวน 2 นัด ติดตัวไปในเมืองฯ แล้วใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้ตายและผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 5 โดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง ริบปลอกกระสุนปืนและลูกปรายกระสุนปืนของกลาง
ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่น เป็นกรรมเดียวต่อกฎหมายหลายบทลงโทษบทหนักฐานฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีและพาอาวุธปืนของผู้อื่นติดตัวไปในเมืองฯ จำคุกกรรมละ 6 เดือน แต่เมื่อลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่น ให้จำคุกตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจนำโทษจำคุกฐานมีและพาอาวุธปืนมารวมได้อีก จากนั้นจำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลจังหวัดพลอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 จากนั้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2559 จำเลยยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ โดยอ้างว่า คณะทำงานของกระทรวงยุติธรรมได้สอบปากคำนายน้อย อ่ำวิทยาโอปภ์ ซึ่งให้ปากคำว่าในคืนเกิดเหตุ เห็นนายตาเหลื่อม ไม่ทราบชื่อสกุลจริงวิ่งมาหยุดที่หน้าบ้าน ใช้ปืนพกยิงไปทางที่เกิดเหตุ 2 นัด แล้ววิ่งกลับทางเดิม และมี น.ส.พรทิพย์ จันทร์ผ่อง เป็นพยานบุคคลอยู่กับจำเลยทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ นอกจากนี้ คณะทำงานฯ ยังสอบปากคำชาวบ้านทำให้ทราบว่า ผู้ที่ก่อเหตุคือ นายอำพล หรือ ตาเหลื่อม เทียบธรรม ซึ่งในปี 2556 นายสมาน ทะวะระ ลุงของนายอำพลยิงตัวตาย คณะทำงานฯ ได้ยืมอาวุธปืนและปลอกกระสุนดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับปลอกกระสุนของกลางในคดี พบว่า มีตำหนิรอยลายเส้นท้ายปลอกกระสุนตรงกันและเข้ารอยกันได้ เมื่อคณะทำงานนำภาพนายอำพลให้ นางพิณ บุญเพ็ง ซึ่งอยู่กินกับนายสมานดู ก็รับว่า นายอำพล เป็นหลาน และจากการสืบสวนทราบว่าในวันเกิดเหตุนายอำพลยืมอาวุธปืนของนายสมานไปเที่ยวงานวัดที่เกิดเหตุด้วย เมื่อนำจำเลยเข้าเครื่องจับเท็จโดยสอบถามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายผู้อื่นจนเสียชีวิตหรือไม่ ผลการจับเท็จผ่าน ซึ่งหมายถึงจำเลยพูดความจริง
ต่อมาวันที่ 23 พฤษภาคม 2559 พนักงานอัยการยื่นคำคัดค้าน ในวันเดียวกัน ศาลจังหวัดพลทำความเห็นว่า ควรมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยในส่วนพยานปากนายน้อยว่าเห็นนายอำพลใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในวัด 2 นัด ตอบทนายผู้คัดค้านว่า พยานรู้จักกับบิดามารดาจำเลย ซึ่งเป็นญาติห่างๆ โดยพยานทราบว่าจำเลยถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้าย ในวันรุ่งขึ้น พยานไปพูดคุยกับ บิดามารดาจำเลยแต่ไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่รู้เห็นให้ทราบ รวมทั้งพยานทราบมาโดยตลอดว่าจำเลยต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่เพิกเฉยไม่เคยบอกความจริงมาก่อนจึงเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ส่วน นางสาวพรทิพย์ ซึ่งระบุว่า เป็นบุคคลที่อยู่กับจำเลยโดยตลอดในที่เกิดเหตุทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ แสดงว่าไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ สำหรับปลอกกระสุนปืนของกลางกับปลอกกระสุนปืนเปรียบเทียบ ซึ่งมีการตรวจพิสูจน์พบว่า ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย ร.19 ปลอกกระสุนปืนทั้งสองรายการมีรอยตำหนิพิเศษน้อยและไม่ชัดเจนพอ ไม่อาจตรวจพิสูจน์ยืนยันผลที่แน่นอนให้ทราบได้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้ง และผลการตรวจพิสูจน์ด้วยเครื่องจับเท็จไม่อาจหักล้างประจักษ์พยานจำนวนสี่ปากได้ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โดยศาลจังหวัดสีคิ้วอ่านคำสั่งให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559 และศาลจังหวัดพล อ่านคำสั่งให้โจทก์ฟังในวันที่ 13 กันยายน 2559
นายสืบพงษ์ โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวต่อว่า สาระสำคัญของพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญา ขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 18 บัญญัติว่า “คำร้องเกี่ยวกับผู้ต้องรับโทษอาญาคนหนึ่งในคดีหนึ่งให้ยื่นได้เพียงครั้งเดียว”