MGR Online - ศาลเลื่อนอ่านฎีกา “เอ็ม พญาไท” ใช้ปืนจี้ข่มขืน ถ่ายคลิปแบล็กเมล์นักศึกษาสาว ป.โท เหตุเจ้าหน้าที่ส่งหมายให้จำเลยที่ 2 แฟนสาวแล้ว แต่ปรากฏไม่มีคนรับหมาย จึงเห็นควรส่งหมายให้จำเลยที่ 2 อีกครั้ง และนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 15 มี.ค.นี้
วันนี้ (8 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำ อ.4407/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสุรชัย หรือคณิศร วิวัฒนชาติ อายุ 41 ปี หรือ “แรมบ้า” หรือ “เอ็ม พญาไท” และนางธนวรรณ อุดมมีชัย หรือคล้ายแพร อายุ 50 ปี ภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา, ความผิดต่อเสรีภาพ หมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490
คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2552 สรุปความผิดว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย. - 10 ส.ค. 2551 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนใจ น.ส.ดาว (นามสมมติ) อายุ 26 ปี ผู้เสียหาย ให้กระทำการหรือจำยอมทำงานเป็นพนักงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด อินเตอร์เนชั่นแนล ดีเทคทีฟฯ ของจำเลยทั้งสอง โดยไม่ยอมให้ผู้เสียหายลาออก โดยจำเลยที่ 1 นำอาวุธปืนออกมาเล็งขู่เข็ญบังคับผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 พูดข่มขืนใจขู่เข็ญผู้เสียหายและทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย รวมทั้งยังได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหลายครั้งอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำเลยยังได้แอบถ่ายรูปและคลิปวิดีโอขณะมีเพศสัมพันธ์กับผู้เสียหายออกเผยแพร่ โดยใช้กำลังประทุษร้ายหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย ต่อมาวันที่ 20 ส.ค. 2551 จำเลยทั้งสองร่วมกันหมิ่นประมาทผู้เสียหายโดยการโฆษณาการกระจายภาพร่วมประเวณีดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงสีกัน เขตดอนเมือง, แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง, แขวงและเขตสะพานสูง แขวงหัวหมาก, เขตบางกะปิ และแขวงใดไม่ปรากฏชัด เขตหลักสี่ กทม., ต.หน้าไม้ อ.ลาดหลุมแก้ว ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี, อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ต.สร้างถ่อ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี เกี่ยวพันกัน จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ขณะที่ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2556 ว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันมีเหตุผล เชื่อมโยงเป็นลำดับตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยากที่จะปรุงแต่งที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียและอับอายแก่ตัว ที่กระทบต่อชีวิตครอบครัว รวมทั้งหน้าที่การงานของผู้เสียหาย อีกทั้งโจทก์ยังมีบันทึกเสียงและภาพ การสนทนาทางโทรศัพท์ที่จำเลยที่ 1 พูดข่มขู่ผู้เสียหาย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงน่าเชื่อถือ ขณะที่ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง, มาตรา 309 วรรคแรก, มาตรา 310 วรรคแรก, มาตรา 326, มาตรา 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรม ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวมทั้งสิ้น 85 ปี 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ทั้งสิ้น 50 ปี ปรับ 2,000 บาท คำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเฉพาะโทษปรับ คงปรับทั้งสิ้น 1,050 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 10 ปี ฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิด ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เฉพาะความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 309 วรรคแรก ส่วนความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และข่มขืนโดยใช้อาวุธปืน หน่วงเหนี่ยวกักขังให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น รวมจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 50 ปี ปรับ 1,050 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี พร้อมทั้งออกหมายจับจำเลยที่ 2 มารับโทษตามคำพิพากษา
ในวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายสุรชัย หรือคณิศร จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำกลางคลองเปรม ส่วนนางธนวรรณ จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์ได้หลบหนี จึงไม่ได้เดินทางมาฟังศาลและถูกอุทธรณ์ออกหมายจับไว้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2557
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานัด ศาลเห็นว่าคดีนี้เจ้าหน้าที่ศาลได้ส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 2 มาฟังคำพิพากษาแล้วแต่ปรากฏว่าไม่มีคนรับหมาย จึงเห็นควรส่งหมายแจ้งให้จำเลยที่ 2 มาฟังคำพิพากษาอีกครั้ง และเลื่อนไปฟังคำพิพากษาฎีกาในวันที่ 15 มี.ค. 2560 เวลา 09.30 น.