xs
xsm
sm
md
lg

ยอดพุ่งอุบัติเหตุ เหตุผู้ขับขี่ไม่มีจิตสำนึก

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


 
MGR Online - กรมคุมประพฤติแถลงสถิติอุบัติเหตุปี 60 ยอดสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว 871 คดี ขอร้องรับผู้ขับขี่ต้องมีจิตสำนึก

วันนี้ (6 ม.ค.) เวลา 13.30 น. กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ แถลงผลการดำเนินงานคุมประพฤติลุยมาตรการบริการสังคมเข้มต่อเนื่อง ตอบรับยอดผู้ถูกคุมความประพฤติช่วงปีใหม่ 2560

พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่มีการเกิดอุบัติเหตุถึง 3,919 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 478 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 4,128 ราย มีคดีเข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติจากสำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ 121 แห่ง มีจำนวนทั้งสิ้น 4,833 คดี แบ่งเป็นขับรถขณะเมาสุรา 4,342 คดี คดีอื่นๆ 452 คดี และคดีขับรถประมาท 38 คดี ซึ่งเปรียบเทียบกับสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 พบว่า มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น 871 คดี คิดเป็นร้อยละ 25.09 และจังหวัดที่มีสถิติคดีสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดนครพนม 272 คดี สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 266 คดี และสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดเชียงราย 156 คดี

พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการบังคับโทษตามคำพิพากษาศาลของกรมคุมประพฤติ ซึ่งมีการส่งผู้กระทำผิดในคดีขับรถขณะเมาสุราและคดีขับรถประมาท ทำงานบริการสังคมในสถานพยาบาล รวมทั้งดำเนินกิจกรรมการกระตุ้นจิตสำนึกเพื่อการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด โดยการพาผู้กระทำผิดไปเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจากอุบัติเหตุทางถนน ทั้งในส่วนของห้องฉุกเฉินและห้องดับจิต รวมถึงเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และสภาพของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุ รับทราบถึงความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานตั้งแต่ เม.ย.-พ.ย. 59 ที่ผ่านมา ได้นำผู้ถูกคุมประพฤติจำนวน 4,572 คดี เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

“นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่นๆ ที่ใช้ในการสร้างความตระหนักรู้และจิตสำนึกอีกหลายมาตรการ เช่น การใช้หลักศาสนากล่อมเกลาจิตใจ การช่วยเหลืองานมูลนิธิเมาไม่ขับ การช่วยเหลืองานของเจ้าพนักงานตำรวจจราจร หรือความปลอดภัยบนท้องถนนร่วมกับองค์กรอื่นๆ ตลอดจนพนักงานคุมประพฤติ และอาสาสมัครคุมประพฤติที่ใช้ความช่วยเหลือ แนะนำให้คำปรึกษา ตักเตือนเกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ถูกคุมความประพฤติ หากพบว่าผู้กระทำผิดยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น” พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์กล่าว

กำลังโหลดความคิดเห็น